News Update : 23/07/2009

ภาวะตลาดหุ้นนิวยอร์ก: แรงขายหุ้นแบงค์,พลังงาน ถ่วงดาวโจนส์ปิดลบ 34.68 จุด
สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ) -- 1 ชั่วโมง 41 นาทีที่แล้ว
ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดลบเมื่อคืนนี้ (22 ก.ค.) เนื่องจากนักลงทุนเทขายหุ้นกลุ่มธนาคารและกลุ่มพลังงาน หลังจากแบงค์ ออฟ นิวยอร์ก เมลลอน และธนาคารเวลส์ ฟาร์โก รายงานผลประกอบการที่ร่วงลงอย่างหนัก ขณะที่หุ้นกลุ่มพลังงานดิ่งลงหลังจากราคาน้ำมัน NYMEX ปรับตัวลดลงเมื่อคืนนี้ อย่างไรก็ตาม ดาวโจนส์ปิดลบไม่มากนักเพราะตลาดยังคงได้รับแรงหนุนจากผลประกอบการที่แข็งแกร่งเกินคาดของบริษัทหลายแห่ง รวมถึงแอปเปิล
สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานว่า ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดลบ 34.68 จุด หรือ 0.39% แตะที่ 8,881.26 จุด ขณะที่ดัชนี S&P 500 ปิดลบ 0.51 จุด หรือ 0.05% แตะที่ 954.07 จุด และดัชนี Nasdaq ปิดบวก 10.18 จุด หรือ 0.53% แตะที่ 1,926.38 จุด ปริมาณการซื้อขายในตลาดหุ้นนิวยอร์กมีอยู่ราว 1.08 พันล้านหุ้น มีจำนวนหุ้นบวกมากกว่าหุ้นลบในอัตราส่วน 4 ต่อ 3 ส่วนปริมาณการซื้อขายในตลาด Nasdaq มีอยู่ราว 2.38 พันล้านหุ้น จอห์น คอแนลลี นักวิเคราะห์จากบริษัท LPL Financial in Boston กล่าวว่า "ตลาดหุ้นนิวยอร์กได้รับแรงกดดันหลังจากแบงค์ ออฟ นิวยอร์ก เมลลอน รายงานผลประกอบการร่วงลง 43% ส่งผลให้นักลงทุนกระหน่ำขายหุ้นกลุ่มธนาคาร โดยดัชนี S&P หุ้นกลุ่มธนาคารลดลง 0.2%" อย่างไรก็ตาม ดาวโจนส์ปิดลบเพียงเล็กน้อยเนื่องจากนักลงทุนยังคงให้น้ำหนักกับผลประกอบการที่แข็งแกร่งเกินคาดของบริษัทหลายแห่ง รวมถึงยาฮู อิงค์ ที่ทำกำไรได้มากขึ้นในไตรมาส 2 เนื่องจากซีอีโอคนใหม่ของบริษัทสามารถลดต้นทุนได้มากพอที่จะชดเชยยอดขายโฆษณาบนเว็บไซต์ที่ร่วงหนักสุดในรอบเกือบ 10 ปี นอกจากนี้ ยาฮูวางแผนที่จะลงทุนอย่างน้อย 75 ล้านดอลลาร์เพื่อโปรโมทแบรนด์ของตัวเอง จ้างวิศวกรเพิ่ม และพัฒนาบริการบางอย่างในช่วงไตรมาส 3 ขณะที่แอปเปิล อิงค์ เผยกำไรไตรมาส 3 ทะยานเกินคาด หลังยอดขายไอโฟนและโน้ตบุ๊คแมคอินทอชพุ่ง ในขณะที่หุ้นของบริษัทก็พุ่ง 4.5% ในการซื้อขายล่าสุด โดยกำไรของแอปเปิลพุ่งแตะ 1.23 พันล้านดอลลาร์ หรือ 1.35 ดอลลาร์ต่อหุ้น ส่วนยอดขายเพิ่มขึ้น 12% แตะ 8.34 พันล้านดอลลาร์ ทั้งที่ก่อนหน้านี้นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าแอปเปิลจะมีกำไรเพียง 1.17 พันล้านดอลลาร์ และมียอดขายเพียง 8.21 พันล้านดอลลาร์ เบน เบอร์นันเก้ ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) แถลงต่อคณะกรรมาธิการด้านการเงินแห่งสภาคองเกรสของสหรัฐว่า เศรษฐกิจสหรัฐกำลังมีเสถียรภาพ และเฟดได้วางแผนควบคุมเงินเฟ้อมาตั้งแต่ก่อนที่จะตัดสินใจอัดฉีดเม็ดเงินเข้าสู่ระบบการเงินของสหรัฐ อย่างไรก็ตาม เบอร์นันเก้ได้สร้างความกังขาให้กับสมาชิกบางคนของคณะกรรมาธิการฯ ในเรื่องบทบาทของเฟดที่มีต่อสถาบันการเงินรายใหญ่ ซึ่งสมาชิกเหล่านี้มองว่า เฟดล้มเหลวในการแก้ปัญหาจนนำไปสู่วิกฤตการณ์การเงิน หุ้นแอปเปิลปิดพุ่ง 3.5% หุ้นสตาร์บั๊คส์ปิดบวก 18.4% หลังจากบริษัทเปิดเผยผลประกอบการเพิ่มขึ้นในไตรมาส 2 ส่วนหุ้นธนาคารเวลส์ ฟาร์โก ปิดลบ 3.8%

ภาวะตลาดหุ้นลอนดอน: ฟุตซี่ปิดบวก 12.56 จุด ขานรับผลประกอบการเอกชน
สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ) -- 8 นาทีที่แล้ว
ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดบวกเมื่อคืนนี้ (22 ก.ค.) ซึ่งเป็นการปิดบวกติดต่อกัน 8 วันทำการ และเป็นสถิติที่ปิดบวกยาวนานที่สุดในรอบกว่า 5 ปี หลังจากบริษัทสหรัฐรายงานผลประกอบการที่ดีเกินคาด รวมถึงบริษัท แอปเปิล และยาฮู
สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานว่า ดัชนี FTSE 100 ปิดบวก 12.56 จุด แตะที่ 4,493.73 จุด หลังจากเคลื่อนตัวในช่วง 4,449.19-4,497.98 จุด เดวิด โจนส์ นักวิเคราะห์จากบริษัท IG Index กล่าวว่า ภาวะการซื้อขายในตลาดหุ้นลอนดอนคึกคักขึ้น หลังจากบริษัท ยาฮู อิงค์ เปิดเผยว่าบริษัทสามารถกำไรได้มากขึ้นในไตรมาส 2 เนื่องจากซีอีโอคนใหม่ของบริษัทสามารถลดต้นทุนได้มากพอที่จะชดเชยยอดขายโฆษณาบนเว็บไซต์ที่ร่วงหนักสุดในรอบเกือบ 10 ปี ขณะที่แอปเปิล อิงค์ เผยกำไรไตรมาส 3 ทะยานเกินคาด หลังยอดขายไอโฟนและโน้ตบุ๊คแมคอินทอชพุ่ง โดยกำไรของแอปเปิลพุ่งแตะ 1.23 พันล้านดอลลาร์ หรือ 1.35 ดอลลาร์ต่อหุ้น ส่วนยอดขายเพิ่มขึ้น 12% แตะ 8.34 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งก่อนหน้านี้นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าแอปเปิลจะมีกำไรเพียง 1.17 พันล้านดอลลาร์ และมียอดขายเพียง 8.21 พันล้านดอลลาร์ หุ้นไชร์ซึ่งเป็นบริษัทเวชภัณฑ์ปิดบวก 4 % และเป็นหุ้นที่ปรับตัวขึ้นขึ้นมากที่สุดในดัชนี FTSE 100 ก่อนที่ไชร์จะเปิดเผยผลประกอบการไตรมาสสองในอีกไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้า ขณะที่หุ้นแอสตราเซเนกาปิดบวก 1.2 % แต่หุ้นแกล็กโซสมิธไคลน์ปิดลบ 0.6% จากแรงขายทำกำไร หุ้นโวดาโฟนปิดบวก 1.0% หลังจากบริษัทบีที กรุ๊ป ระบุว่าทางบริษัทจะโอนถ่ายฐานลูกค้าโทรศัพท์และฐานลูกค้าอินเตอร์เน็ตความเร็วสูงในไอร์แลนด์ให้แก่โวดาโฟน ตลาดหุ้นลอนดอนได้รับแรงกดดันหลังจากสถาบันวิจัยเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติของอังกฤษ (Niesr) คาดการณ์ว่า ราคาบ้านในอังกฤษจะลดลงต่อเนื่องไปจนถึงปี 2555 ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อการใช้จ่ายผู้บริโภคในที่สุด และคาดว่าตัวเลขจีดีพีของอังกฤษจะลดลงต่อเนื่องจนกว่าจะถึงไตรมาสสุดท้ายของปีนี้

ภาวะตลาดเงินนิวยอร์ก: ดอลล์ร่วงเทียบสกุลหลักๆ หลังเบอร์นันเก้เตือนตัวเลขว่างงานพุ่ง
สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ) -- 26 นาทีที่แล้ว
ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐร่วงลงเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลักๆ ในการซื้อขายที่ตลาดปริวรรตเงินตรานิวยอร์กเมื่อคืนนี้ (22 ก.ค.) หลังจากเบน เบอร์นันเก้ ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) แถลงต่อสภาคองเกรสเป็นวันที่สองว่า การฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐจะเป็นไปอย่างช้าๆเนื่องจากอัตราว่างงานยังคงพุ่งสูงขึ้น นอกจากนี้ ดอลลาร์ยังได้รับแรงกดดันจากผลประกอบการที่ย่ำแย่ของบริษัทหลายแห่ง รวมถึงแบงค์ ออฟ นิวยอร์ก เมลลอน และธนาคารเวลส์ ฟาร์โก
ค่าเงินดอลลาร์ดิ่งลง 0.13% เมื่อเทียบกับเงินเยนที่ 93.560 เยน/ดอลลาร์ จากระดับของวันอังคารที่ 93.680 เยน/ดอลลาร์ และอ่อนตัวลง 0.10% เมื่อเทียบกับฟรังค์สวิสที่ระดับ 1.0653 ฟรังค์/ดอลลาร์ จากระดับ 1.0664 ฟรังค์/ดอลลาร์ ค่าเงินยูโรดีดขึ้น 0.04% แตะที่ 1.4217 ดอลลาร์/ยูโร จากระดับของวันอังคารที่ 1.4211 ดอลลาร์/ยูโร และค่าเงินปอนด์แข็งค่าขึ้น 0.21% แตะที่ 1.6478 ดอลลาร์/ปอนด์ จากระดับ 1.6444 ดอลลาร์/ปอนด์ ค่าเงินดอลลาร์ออสเตรเลียร่วงลง 0.23% แตะที่ 0.8165 ดอลลาร์สหรัฐ/ดอลลาร์ออสเตรเลีย จากระดับ 0.8184 ดอลลาร์สหรัฐ/ดอลลาร์ออสเตรเลีย และค่าเงินดอลลาร์นิวซีแลนด์ดีดขึ้น 0.49% แตะที่ 0.6588 ดอลลาร์สหรัฐ/ดอลลาร์นิวซีแลนด์ จากระดับ 0.6556 ดอลลาร์สหรัฐ/ดอลลาร์นิวซีแลนด์ ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐได้รับแรงกดดันจากการที่ประธานเฟดแถลงต่อสภาคองเกรสเป็นวันที่สองว่าการฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐจะเป็นไปอย่างช้าๆเนื่องจากอัตราว่างงานยังคงพุ่งสูงขึ้น นอกจากนี้ ดอลลาร์ยังได้รับแรงกดดันจากผลประกอบการที่ย่ำแย่ของบริษัทหลายแห่ง รวมถึงแบงค์ ออฟ นิวยอร์ก เมลลอน และธนาคารเวลส์ ฟาร์โก เบอร์นันเก้ระบุว่าเฟดได้วางแผนควบคุมเงินเฟ้อมาตั้งแต่ก่อนที่จะตัดสินใจอัดฉีดเม็ดเงินเข้าสู่ระบบการเงินของสหรัฐ อย่างไรก็ตาม เบอร์นันเก้ได้สร้างความกังขาให้กับสมาชิกบางคนของคณะกรรมาธิการฯ ในเรื่องบทบาทของเฟดที่มีต่อสถาบันการเงินรายใหญ่ ซึ่งสมาชิกเหล่านี้มองว่า เฟดล้มเหลวในการแก้ปัญหาจนนำไปสู่วิกฤตการณ์การเงิน ส่วนค่าเงินดอลลาร์ออสเตรเลียได้รับแรงหนุนหลังจากนักวิเคราะห์ของธนาคารบีเอ็นพี พาริบาส์ เอสเอ คาดการณ์ว่า สกุลเงินดอลลาร์ออสเตรเลียจะพุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดในรอบ 10 เดือน หลังจากค่าเงินทะยานขึ้นเหนือแนวต้านเส้นสำคัญที่ 81.55 เซนต์สหรัฐ "ดอลลาร์ออสเตรเลียร่วงลง 1.3% เมื่อวันที่ 3 มิ.ย.ที่ผ่านมา จากระดับสูงสุดของปีนี้ที่ 82.63 เซนต์สหรัฐ เนื่องจากนักลงทุนเทขายดอลลาร์ออสเตรเลียซึ่งเป็นสกุลเงินที่ให้อัตราผลตอบแทนสูง อันเนื่องมาจากความกังวลที่ว่าผลประกอบการไตรมาส 2 ของบริษัทในออสเตรเลียจะออกมาน่าผิดหวัง แต่เมื่อดอลลาร์ออสเตรเลียทะยานขึ้นเหนือระดับสุงสุดในรอบ 6 สัปดาห์ที่ 81.55 เซนต์สหรัฐ ทำให้เกิดความคาดหวังว่าภาวะอ่อนแอของดอลลาร์ออสเตรเลียได้สิ้นสุดลงแล้ว" แอนดรู ชาเวเรียท นักวิเคราะห์ด้านเทคนิคการลงทุนในตลาดปริวรรตเงินตราของบีเอ็นพี พาริบาส์ กล่าว บลูมเบิร์กรายงาน

ภาวะตลาดน้ำมัน NYMEX: น้ำมันดิบปิดลบ 21 เซนต์ หลังสต็อกน้ำมันดิบลดลงน้อยเกินคาด
สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ) -- 1 ชั่วโมง 12 นาทีที่แล้ว
สัญญาน้ำมันดิบตลาดนิวยอร์กปิดลดลงเมื่อคืนนี้ (22 ก.ค.) หลังจากกระทรวงพลังงานสหรัฐเปิดเผยว่าสต็อกน้ำมันดิบประจำสัปดาห์ปรับตัวลดลงน้อยกว่าที่คาดการณ์ไว้ ทำให้นักลงทุนกังวลว่าภาวะเศรษฐกิจและอัตราว่างงานที่พุ่งสูงขึ้นอาจทำให้ดีมานด์พลังงานลดน้อยลงด้วย ซึ่งความกังวลดังกล่าวกดดันให้นักลงทุนเทขายทำกำไร
สัญญาน้ำมันดิบตลาด NYMEX (New York Mercantile Exchange) ส่งมอบเดือนก.ย.ลดลง 21 เซนต์ ปิดที่ 65.40 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล หลังจากดิ่งลงแตะระดับต่ำสุดในระหว่างวันที่ 63.76 ดอลลาร์ ขณะที่สัญญาน้ำมันฮีทติ้งออยล์ส่งมอบเดือนส.ค.บวก 1.28 เซนต์ ปิดที่ 1.7112 ดอลลาร์ต่อแกลลอน และสัญญาน้ำมันเบนซินส่งมอบเดือนส.ค.เพิ่มขึ้น 2.63 เซนต์ ปิดที่ 1.8383 ดอลลาร์ต่อแกลลอน ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ที่ตลาด ICE กรุงลอนดอน ส่งมอบเดือนก.ย.ดีดขึ้น 34 เซนต์ ปิดที่ 67.21 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล หลังจากเคลื่อนตัวในช่วง 65.50-67.48 ดอลลาร์ เอพีรายงานว่าสัญญาน้ำมันดิบร่วงลงเนื่องจากนักลงทุนเทขายทำกำไร หลังจากกระทรวงพลังงานสหรัฐรายงานว่า สต็อกน้ำมันดิบในรอบสัปดาห์ซึ่งสิ้นสุด ณ วันที่ 17 ก.ค. ลดลง 1.8 ล้านบาร์เรล แตะระดับ 342.7 ล้านบาร์เรล ซึ่งน้อยกว่าที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่าจะร่วงลง 2.1 ล้านบาร์เรล ขณะที่สต็อกน้ำมันกลั่นเพิ่มขึ้น 1.2 ล้านบาร์เรล แตะระดับ 160.5 ล้านบาร์เรล น้อยกว่าที่คาดว่าไว้ว่าจะพุ่งขึ้น 1.5 ล้านบาร์เรล และสต็อกน้ำมันเบนซินเพิ่มขึ้น 800,000 บาร์เรล แตะระดับ 215.4 ล้านบาร์เรล ซึ่งสอดคล้องกับที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดการณ์ไว้ ส่วนอัตราการใช้กำลังการกลั่น น้ำมันลดลง 2.1% สู่ 85.8%

ภาวะตลาดทองคำนิวยอร์ก: แรงซื้อเก็งกำไร หนุนทองคำปิดบวก 6.40 ดอลล์
สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ) -- 53 นาทีที่แล้ว
สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดบวกเมื่อคืนนี้ (22 ก.ค.) เนื่องจากแรงซื้อเก็งกำไร หลังจากบริษัทสหรัฐหลายแห่ง รวมถึง แอปเปิลรายงานผลประกอบการที่แข็งแกร่ง อย่างไรก็ตาม ตลาดได้รับแรงกดดันจากความวิตกกังวลเรื่องแนวโน้มเศรษฐกิจ และจากการที่นายเบน เบอร์นันเก้ ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ยืนยันว่าจะใช้มาตรการควบคุมเงินเฟ้อควบคู่ไปกับการกระตุ้นเศรษฐกิจให้ขยายตัว ซึ่งทำให้นักลงทุนกังวลว่ามาตรการดังกล่าวจะสร้างแรงกดดันต่อราคาทองคำ
สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือนส.ค.ปิดที่ 953.30 ดอลลาร์/ออนซ์ เพิ่มขึ้น 6.40 ดอลลาร์ หลังจากเคลื่อนตัวในช่วง 944.60-955.00 ดอลลาร์ ขณะที่สัญญาโลหะเงินส่งมอบเดือนก.ย.ปิดที่ 13.710 ดอลลาร์/ออนซ์ เพิ่มขึ้น 23.20 เซนต์ และสัญญาโลหะทองแดงส่งมอบเดือนก.ย.เพิ่มขึ้น 7.45 เซนต์ ปิดที่ 2.5255 ดอลลาร์/ปอนด์ ส่วนสัญญาพลาตินัมเดือนต.ค.ปิดที่ 1,775.70 ดอลลาร์/ออนซ์ ลดลง 1.30 ดอลลาร์ และสัญญาพัลลาเดียมเดือนก.ย.ปิดที่ 256.15 ดอลลาร์/ออนซ์ ลดลง 1.35 ดอลลาร์ คาร์ลอส ซานเชส นักวิเคราะห์จาก CPM Group กล่าวว่า นักลงทุนเข้าซื้อเก็งกำไรสัญญาทองคำ หลังจากภาคเอกชนของสหรัฐรายงานผลประกอบการที่ดีเกินคาด รวมถึงบริษัท ยาฮู อิงค์ และแอปเปิล แต่ตลาดเคลื่อนตัวผันผวนตลอดทั้งวัน หลังจากประธานเฟดยืนยันว่าจะใช้มาตรการควบคุมเงินเฟ้อควบคู่ไปกับการกระตุ้นเศรษฐกิจให้ขยายตัว ซึ่งทำให้นักลงทุนกังวลว่ามาตรการดังกล่าวจะสร้างแรงกดดันต่อราคาทองคำ

สหรัฐเผยสต็อกน้ำมันดิบลดลงน้อยเกินคาด 1.8 ล้านบาร์เรล
สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ) -- 1 ชั่วโมง 35 นาทีที่แล้ว
กระทรวงพลังงานสหรัฐรายงานว่า สต็อกน้ำมันดิบในรอบสัปดาห์ซึ่งสิ้นสุด ณ วันที่ 17 ก.ค. ลดลง 1.8 ล้านบาร์เรล แตะระดับ 342.7 ล้านบาร์เรล ซึ่งน้อยกว่าที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่าจะร่วงลง 2.1 ล้านบาร์เรล
ขณะที่สต็อกน้ำมันกลั่นเพิ่มขึ้น 1.2 ล้านบาร์เรล แตะระดับ 160.5 ล้านบาร์เรล น้อยกว่าที่คาดว่าไว้ว่าจะพุ่งขึ้น 1.5 ล้านบาร์เรล และสต็อกน้ำมันเบนซินเพิ่มขึ้น 800,000 บาร์เรล แตะระดับ 215.4 ล้านบาร์เรล ซึ่งสอดคล้องกับที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดการณ์ไว้ ส่วนอัตราการใช้กำลังการกลั่น น้ำมันลดลง 2.1% สู่ 85.8% บลูมเบิร์กรายงานว่า สต็อกน้ำมันข้างต้นไม่นับรวมกับคลังน้ำมันสำรองทางยุทธศาสตร์ (Strategic Petroleum Reserve) ของสหรัฐซึ่งปัจจุบันมีน้ำมันดิบสำรองอยู่ประมาณ 689 ล้านบาร์เรล แต่อดีตประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิ้ลยู บุช แห่งสหรัฐ ประกาศให้ปรับเพิ่มคลังน้ำมันสำรองประเภทดังกล่าวขึ้นสู่ระดับ 1.5 ล้านบาร์เรลภายในปี 2570 เพื่อรับมือกับภาวะติดขัดที่อาจเกิดจากภัยพิบัติทางธรรมชาติและการโจมตีของผู้ก่อการร้าย


ผลประกอบการธุรกิจสหรัฐฯ ไตรมาส 2 จุดประกายความเชื่อมั่นนักลงทุน ส่งผลน้ำมันตลาดโลกพุ่งต่อเนื่อง ขายปลีกในประเทศจำเป็นต้องปรับขึ้น 80 สตางค์
www.ThaiPR.net -- 24 นาทีที่แล้ว
กรุงเทพฯ--23 ก.ค.--ปตท. นายวิทยา หวังจิตรารักษ์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ตลาดขายปลีกหน่วยธุรกิจน้ำมัน บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า หลังจากที่บริษัทขนาดใหญ่ในสหรัฐฯ ทยอยประกาศผลประกอบการไตรมาส 2 ซึ่งผลประกอบการอยู่ในเกณฑ์ดี ส่งผลให้นักลงทุนมีความเชื่อมั่นต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจมากขึ้น ประกอบกับสถานการณ์ความไม่สงบในประเทศผู้ผลิตน้ำมันยังคงรุนแรง จากการที่กองโจร MENDในประเทศไนจีเรียขู่จะโจมตีท่อขนส่งน้ำมัน หากบริษัทน้ำมันเข้าทำการซ่อมแซมในช่วงที่มีการประกาศหยุดยิง 60 วัน รวมถึงกลุ่มโอเปคมีแนวโน้มพิจารณาลดปริมาณการผลิตหากความต้องการน้ำมันดิบยังคงชะลอตัว ในขณะที่ Reuters Poll คาดการณ์ปริมาณน้ำมันดิบคงคลังของสหรัฐปรับตัวลดลงต่อเนื่อง ปัจจัยทั้งหมดส่งผลกระทบทำให้ราคาน้ำมันในตลาดโลก โดยเฉพาะน้ำมันสำเร็จรูป ปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องตั้งแต่สัปดาห์ที่แล้วกว่า 6 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล โดยเมื่อวานนี้ (22 ก.ค. 52) ราคาน้ำมันดูไบอยู่ที่ 64.40 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล น้ำมันสำเร็จรูปเบนซิน 95 สิงคโปร์ เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 73.12 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล และน้ำมันดีเซลอยู่ที่ 72.43 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล ปตท.จึงมีความจำเป็นต้องปรับขึ้นราคาขายปลีกน้ำมันทั้งกลุ่มเบนซินและกลุ่มดีเซล 80 สตางค์/ลิตร ส่งผลให้ราคาน้ำมันขายปลีกในกรุงเทพฯ และปริมณฑล ตั้งแต่วันที่ 23 ก.ค.52 เวลา 05.00 น. เป็นต้นไป เป็นดังนี้


ภาวะตลาดหุ้นโตเกียว: แรงซื้อหุ้นเทคโนฯ หนุนนิกเกอิบวก 4.30 จุดเช้านี้
Thursday, July 23, 2009 08:15:00ดัชนีนิกเกอิตลาดหุ้นโตเกียวดีดตัวขึ้นในช่วงเช้านี้ เนื่องจากนักลงทุนเข้าซื้อหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีหลังจากบริษัท ยาฮู และแอปเปิล รายงานผลประกอบการที่แข็งแกร่ง อย่างไรก็ตาม วอลุ่มการซื้อขายค่อข้างบางเบาและภาวะการซื้อขายผันผวน เนื่องจากนักลงทุนส่วนใหญ่ปลีกตัวออกไปอยู่นอกตลาดก่อนที่บริษัทญี่ปุ่นจะเปิดเผยผลประกอบการสำนักข่าวเกียวโดรายงานว่า หลังจากตลาดเปิดทำการได้เพียง 15 นาที ดัชนีนิกเกอิดีดขึ้น 4.30 จุด หรือ 0.04% แตะที่ 9,727.46 จุดโบรกเกอร์กล่าวว่า หุ้นกลุ่มโลหะ กลุ่มยาง และกลุ่มประมงดีดตัวขึ้น แต่หุ้นกลุ่มเหล็กและสินแร่เหล็ก กลุ่มเหมืองแร่ และกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ อ่อนตัวลงในช่วงเช้านี้นักลงทุนเข้าซื้อหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีหลังจากหลังจากบริษัท ยาฮู อิงค์ เปิดเผยว่าบริษัทสามารถกำไรได้มากขึ้นในไตรมาส 2 เนื่องจากซีอีโอคนใหม่ของบริษัทสามารถลดต้นทุนได้มากพอที่จะชดเชยยอดขายโฆษณาบนเว็บไซต์ที่ร่วงหนักสุดในรอบเกือบ 10 ปี ขณะที่แอปเปิล อิงค์ เผยกำไรไตรมาส 3 ทะยานเกินคาด หลังยอดขายไอโฟนและโน้ตบุ๊คแมคอินทอชพุ่ง โดยกำไรของแอปเปิลพุ่งแตะ 1.23 พันล้านดอลลาร์ หรือ 1.35 ดอลลาร์ต่อหุ้น ส่วนยอดขายเพิ่มขึ้น 12% แตะ 8.34 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งก่อนหน้านี้นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าแอปเปิลจะมีกำไรเพียง 1.17 พันล้านดอลลาร์ และมียอดขายเพียง 8.21 พันล้านดอลลาร์
--อินโฟเควสท์--

ญี่ปุ่นเผยยอดส่งออกเดือนมิ.ย.ทำสถิติลดลงในอัตราช้าที่สุดในรอบ 6 เดือน
Thursday, July 23, 2009 08:45:44กระทรวงการคลังญี่ปุ่นรายงานในวันนี้ว่า ยอดส่งออกเดือนมิ.ย.ดิ่งลง 35.7% แตะระดับ 4,599.98 พันล้านเยน แต่เป็นสถิติที่ปรับตัวลงในอัตราที่ช้าที่สุดในรอบ 6 เดือน และลดลงน้อยกว่าเดือนพ.ค.ที่ทรุดตัวลงถึง 40.9% ซึ่งเป็นสัญญาณบ่งชี้ว่าภาวะเศรษฐกิจถดถอยของญี่ปุ่นกำลังคลี่คลายลงขณะที่ยอดนำเข้าลดลง 41.9% แตะที่ 4,091.97 พันล้านเยน ส่งผลให้ญี่ปุ่นมียอดเกินดุลการค้ามูลค่า 5.08 แสนล้านเยน ซึ่งเป็นการเกินดุลครั้งแรกใรอบ 20 เดือนรายงานระบุว่า ยอดส่งออกสินค้าไปยังสหรัฐเดือนมิ.ย.ลดลง 37.6 % แตะระดับ 7.66 แสนล้านเยน ขณะที่ยอดนำเข้าสินค้าจากสหรัฐหดตัวลง 37.9% แตะที่ 1.88 แสนล้านเยน ส่งผลให้ญี่ปุ่นมียอดเกินดุลการค้ากับสหรัฐทั้งสิ้น 2.77 แสนล้านเยนนอดจากนี้ ญี่ปุ่นมียอดเกินดุลการค้ากับเอเชียลดลง 25.1% แตะที่ 6.51 แสนล้านเยน โดยยอดส่งออกไปยังเอเชียลดลง 30.1% แตะที่ 2,508.26 พันล้านเยน และยอดนำเข้าลดลง 31.7% แตะที่ 1,856.52 พันล้านเยนส่วนยอดเกินดุลการค้ากับยุโรปลดลง 71.6% แตะที่ 90.48 พันล้านเยน โดยยอดส่งออกลดลง 41.4% แตะที่ 560.37 พันล้านเยน และยอดนำเข้าลดลง 26.2% แตะที่ 469.90 พันล้านเยน สำนักข่าวเกียวโดรายงาน
--อินโฟเควสท์--

World Markets: สรุปภาวะตลาดหุ้น น้ำมัน ทองคำ และตลาดเงินต่างประเทศ
Thursday, July 23, 2009 08:46:14
ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดลบเมื่อคืนนี้ (22 ก.ค.) เนื่องจากนักลงทุนเทขายหุ้นกลุ่มธนาคารและกลุ่มพลังงาน หลังจากแบงค์ ออฟ นิวยอร์ก เมลลอน และธนาคารเวลส์ ฟาร์โก รายงานผลประกอบการที่ร่วงลงอย่างหนัก ขณะที่หุ้นกลุ่มพลังงานดิ่งลงหลังจากราคาน้ำมัน NYMEX ปรับตัวลดลงเมื่อคืนนี้ อย่างไรก็ตาม ดาวโจนส์ปิดลบไม่มากนักเพราะตลาดยังคงได้รับแรงหนุนจากผลประกอบการที่แข็งแกร่งเกินคาดของบริษัทหลายแห่ง รวมถึงแอปเปิลดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดลบ 34.68 จุด หรือ 0.39% แตะที่ 8,881.26 จุด ขณะที่ดัชนี S&P 500 ปิดลบ 0.51 จุด หรือ 0.05% แตะที่ 954.07 จุด และดัชนี Nasdaq ปิดบวก 10.18 จุด หรือ 0.53% แตะที่ 1,926.38 จุด
-- สัญญาน้ำมันดิบตลาดนิวยอร์กปิดลดลงเมื่อคืนนี้ (22 ก.ค.) หลังจากกระทรวงพลังงานสหรัฐเปิดเผยว่าสต็อกน้ำมันดิบประจำสัปดาห์ปรับตัวลดลงน้อยกว่าที่คาดการณ์ไว้ ทำให้นักลงทุนกังวลว่าภาวะเศรษฐกิจและอัตราว่างงานที่พุ่งสูงขึ้นอาจทำให้ดีมานด์พลังงานลดน้อยลงด้วย ซึ่งความกังวลดังกล่าวกดดันให้นักลงทุนเทขายทำกำไรสัญญาน้ำมันดิบตลาด NYMEX (New York Mercantile Exchange) ส่งมอบเดือนก.ย.ลดลง 21 เซนต์ ปิดที่ 65.40 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล หลังจากดิ่งลงแตะระดับต่ำสุดในระหว่างวันที่ 63.76 ดอลลาร์
-- สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดบวกเมื่อคืนนี้ (22 ก.ค.) เนื่องจากแรงซื้อเก็งกำไร หลังจากบริษัทสหรัฐหลายแห่ง รวมถึง แอปเปิลรายงานผลประกอบการที่แข็งแกร่ง อย่างไรก็ตาม ตลาดได้รับแรงกดดันจากความวิตกกังวลเรื่องแนวโน้มเศรษฐกิจ และจากการที่นายเบน เบอร์นันเก้ ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ยืนยันว่าจะใช้มาตรการควบคุมเงินเฟ้อควบคู่ไปกับการกระตุ้นเศรษฐกิจให้ขยายตัว ซึ่งทำให้นักลงทุนกังวลว่ามาตรการดังกล่าวจะสร้างแรงกดดันต่อราคาทองคำสัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือนส.ค.ปิดที่ 953.30 ดอลลาร์/ออนซ์ เพิ่มขึ้น 6.40 ดอลลาร์ หลังจากเคลื่อนตัวในช่วง 944.60-955.00 ดอลลาร์
-- ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐร่วงลงเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลักๆ ในการซื้อขายที่ตลาดปริวรรตเงินตรานิวยอร์กเมื่อคืนนี้ (22 ก.ค.) หลังจากเบน เบอร์นันเก้ ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) แถลงต่อสภาคองเกรสเป็นวันที่สองว่า การฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐจะเป็นไปอย่างช้าๆเนื่องจากอัตราว่างงานยังคงพุ่งสูงขึ้น นอกจากนี้ ดอลลาร์ยังได้รับแรงกดดันจากผลประกอบการที่ย่ำแย่ของบริษัทหลายแห่ง รวมถึงแบงค์ ออฟ นิวยอร์ก เมลลอน และธนาคารเวลส์ ฟาร์โกค่าเงินดอลลาร์ดิ่งลง 0.13% เมื่อเทียบกับเงินเยนที่ 93.560 เยน/ดอลลาร์ จากระดับของวันอังคารที่ 93.680 เยน/ดอลลาร์ และอ่อนตัวลง 0.10% เมื่อเทียบกับฟรังค์สวิสที่ระดับ 1.0653 ฟรังค์/ดอลลาร์ จากระดับ 1.0664 ฟรังค์/ดอลลาร์ค่าเงินยูโรดีดขึ้น 0.04% แตะที่ 1.4217 ดอลลาร์/ยูโร จากระดับของวันอังคารที่ 1.4211 ดอลลาร์/ยูโร และค่าเงินปอนด์แข็งค่าขึ้น 0.21% แตะที่ 1.6478 ดอลลาร์/ปอนด์ จากระดับ 1.6444 ดอลลาร์/ปอนด์
-- ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดบวกเมื่อคืนนี้ (22 ก.ค.) ซึ่งเป็นการปิดบวกติดต่อกัน 8 วันทำการ และเป็นสถิติที่ปิดบวกยาวนานที่สุดในรอบกว่า 5 ปี หลังจากบริษัทสหรัฐรายงานผลประกอบการที่ดีเกินคาด รวมถึงบริษัท แอปเปิล และยาฮูดัชนี FTSE 100 ปิดบวก 12.56 จุด แตะที่ 4,493.73 จุด หลังจากเคลื่อนตัวในช่วง 4,449.19-4,497.98 จุด
--อินโฟเควสท์--

Comments