News Update : 02/09/2009


ภาวะตลาดหุ้นนิวยอร์ก: วิตกปัญหาภาคธนาคาร ฉุดดาวโจนส์ปิดร่วง 185.68 จุด
สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ) -- 1 ชั่วโมง 19 นาทีที่แล้ว
ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดร่วงลงเมื่อคืนนี้ (1 ก.ย.) เนื่องจากความวิตกกังวลเกี่ยวกับปัญหาที่เกิดในภาคการธนาคาร หลังจากมีรายงานว่าธนาคารในสหรัฐต้องปิดตัวลงเองกว่า 80 แห่งในปีนี้ นอกจากนี้ นักลงทุนยังมีท่าทีระมัดระวังก่อนที่สหรัฐจะเปิดเผยตัวเลขจ้างงานในวันศุกร์นี้

ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดร่วง 185.68 จุด หรือ 1.96% แตะที่ 9,310.60 จุด ขณะที่ดัชนี S&P 500 ปิดลบ 22.58 จุด หรือ 2.21% แตะที่ 998.04 จุด และดัชนี Nasdaq ปิดร่วง 40.17 จุด หรือ 2.00% แตะที่ 1,968.89 จุด

ปริมาณการซื้อขายในตลาดหุ้นนิวยอร์กมีอยู่ราว 1.63 พันล้านหุ้น มีจำนวนหุ้นลบมากกว่าหุ้นบวกในอัตราส่วน 5 ต่อ 1 ส่วนปริมาณการซื้อขายในตลาด Nasdaq มีอยู่ราว 2.76 พันล้านหุ้น

ไรอัน เดทริค นักวิเคราะห์จากบริษัท Schaeffer`s Investment Research ในนิวยอร์ก กล่าวกับเอพีว่า กระแสความวิตกกังวลเกี่ยวกับปัญหาในภาคการธนาคารถูกจุดปะทุขึ้นมาอีกครั้งหลังจากบรรษัทประกันเงินฝากแห่งสหรัฐ (FDIC) รายงานว่า ธนาคารในสหรัฐต้องปิดตัวเองลงอีก 3 แห่ง ส่งผลให้จำนวนธนาคารที่ปิดกิจการในสหรัฐปีนี้พุ่งขึ้นเป็น 84 ราย และคาดว่าสถานการณ์ดังกล่าวจะส่งผลให้อัตราว่างงานในสหรัฐพุ่งขึ้นอีก

FDIC ระบุว่าธนาคารที่ถูกสั่งปิดล่าสุดได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจถดถอยและวิกฤตการณ์การเงินที่ส่งผลกระทบไปทั่วโลก โดยธนาคารทั้ง 3 แห่งล่าสุดได้แก่ แอฟฟินิตี้ แบงค์ ในรัฐแคลิฟอร์เนีย, แบรดฟอร์ด แบงค์ ในรัฐแมรีแลนด์ และเมนสตรีท แบงค์ ในรัฐมินเนโซตา โดยสินทรัพย์ 1.9 พันล้านดอลลาร์และเงินฝากมูลค่า 1.7 พันล้านดอลลาร์ของธนาคารทั้ง 3 แห่งจะถูกโอนถ่ายให้กับสถาบันการเงินแห่งใหม่ และส่งผลให้ต้นทุนการประกันเงินฝากของ FDIC เพิ่มขึ้นอีก 466 ล้านดอลลาร์

อย่างไรก็ตาม นักลงทุนส่วนใหญ่เชื่อว่าเศรษฐกิจสหรัฐได้ฟื้นตัวจากภาวะถดถอยรุนแรงแล้ว โดยหลักฐานล่าสุดคือดัชนีภาคการผลิตที่เพิ่มขึ้นสู่ระดับ 52.9 จุดในเดือนส.ค.จาก 48.9 จุดในเดือนก.ค. สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะอยู่ที่ 50.5 จุด และยอดทำสัญญาขายบ้านที่รอปิดการขาย (pending home sales) เพิ่มขึ้น 3.2% สู่ระดับ 97.6% ในเดือนก.ค.ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนมิ.ย.2550

ความวิตกกังวลเรื่องปัญหาในภาคการธนาคารได้ฉุดดัชนี KBW หุ้นกลุ่มธนาคารร่วงลง 5.8% โดยหุ้นเจพีมอร์แกน เชสร่วง 4.1% และหุ้นซิตี้กรุ๊ปดิ่งลง 9..2% ส่วนหุ้นอีเบย์ร่วง 2.1% หลังบริษัทวางแผนขายหุ้นส่วนใหญ่ในบริษัท Skype ซึ่งเป็นธุรกิจโทรศัพท์ออนไลน์ เป็นมูลค่า 1.9 พันล้านดอลลาร์ให้กับนักลงทุนเอกชน
นักลงทุนจับตาดูตัวเลขจ้างงานของสหรัฐซึ่งจะมีการเปิดเผยในวันศุกร์ โดยนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดการณ์ว่าตัวเลขจ้างงานประจำเดือนส.ค.ของสหรัฐจะลดลง 230,000 ราย ซึ่งเป็นสถิติที่ปรับตัวลงน้อยที่สุดในรอบ 1 ปี

ส่วนข้อมูลเศรษฐกิจที่นักลงทุนจับตาดูในสัปดาห์นี้ได้แก่ ข้อมูลประสิทธิภาพการผลิตและต้นทุนแรงงานประจำไตรมาส 2 และยอดสั่งซื้อของโรงงานเดือนก.ค. ซึ่งจะมีการเปิดเผยในวันพุธ ส่วนในวันพฤหัสบดี กระทรวงแรงงานสหรัฐจะเปิดเผยจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ และสถาบันจัดการด้านอุปทานของสหรัฐ (ISM) จะเปิดเผยดัชนีภาคบริการเดือนส.ค.

ภาวะตลาดน้ำมัน NYMEX: แรงขายทำกำไร ฉุดน้ำมันดิบปิดร่วง $1.91
สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ) -- 51 นาทีที่แล้ว
ตลาดน้ำมันนิวยอร์กปิดตลาดร่วงลงอีกเกือบ 2 ดอลลาร์เมื่อคืนนี้ (1 ก.ย.) เนื่องจากนักลงทุนยังคงเทขายทำกำไรอย่างต่อเนื่อง แม้สหรัฐเปิดเผยข้อมูลภาคการผลิตและข้อมูลด้านอสังหาริมทรัพย์ที่ดีเกินคาดก็ตาม นอกจากนี้ การร่วงลงของตลาดหุ้นนิวยอร์กนับเป็นอีกปัจจัยที่ทำให้บรรยากาศการซื้อขายในตลาดน้ำมันนิวยอร์กซบเซาลงด้วย

บลูมเบิร์กรายงานว่า สัญญาน้ำมันดิบตลาด NYMEX (New York Mercantile Exchange) ส่งมอบเดือนต.ค.ร่วงลง 1.91 ดอลลาร์ ปิดที่ 68.05 ดอลลาร์/บาร์เรล หลังจากเคลื่อนตัวในช่วง 71.30-68.05 ดอลลาร์

ขณะที่สัญญาน้ำมันเบนซินส่งมอบเดือนต.ค.ลดลง 2.77 เซนต์ ปิดที่ 1.7822 ดอลลาร์/แกลลอน และสัญญาน้ำมันฮีทติ้งออยล์ส่งมอบเดือนต.ค.ลดลง 4.96 เซนต์ ปิดที่ 1.7589 ดอลลาร์/แกลลอน

ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ที่ตลาด ICE กรุงลอนดอน ส่งมอบเดือนต.ค.ดิ่งลง 1.92 ดอลลาร์ ปิดที่ 67.73 ดอลลาร์/บาร์เรล

ฟิล ไฟน์ นักวิเคราะห์จากบริษัท PFGBest กล่าวว่า สัญญาน้ำมันดิบถูกกระหน่ำขายอย่างหนักเพราะได้รับแรงกดดันจากการร่วงลงของตลาดหุ้นนิวยอร์ก ซึ่งเป็นผลมาจากความวิตกกังวลเกี่ยวกับปัญหาในภาคการธนาคาร หลังจากบรรษัทประกันเงินฝากแห่งสหรัฐ (FDIC) รายงานว่า ธนาคารในสหรัฐถูกปิดกิจการเพิ่มขึ้นอีก 3 แห่ง ส่งผลให้ธนาคารที่ปิดกิจการในสหรัฐปีนี้พุ่งขึ้นเป็น 84 ราย

อย่างไรก็ตาม สัญญาน้ำมันดิบดีดตัวขึ้นเหนือระดับ 71 ดอลลาร์/บาร์เรลในระหว่างวัน หลังจากสหรัฐรายงานว่าดัชนีภาคการผลิตที่เพิ่มขึ้นสู่ระดับ 52.9 จุดในเดือนส.ค.จาก 48.9 จุดในเดือนก.ค. สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะอยู่ที่ 50.5 จุด และยอดทำสัญญาขายบ้านที่รอปิดการขาย (pending home sales) เพิ่มขึ้น 3.2% สู่ระดับ 97.6% ในเดือนก.ค.ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนมิ.ย.2550

ศูนย์เฮอร์ริเคนแห่งชาติของสหรัฐ (NHC) รายงานว่า พายุเฮอร์ริเคน "บิล" ทวีความรุนแรงขึ้นในมหาสมุทรแอตแลนติก และอาจจะทวีความรุนแรงขึ้นจนกลายเป็นเฮอร์ริเคนลูกใหญ่ในขณะมุ่งหน้าสู่เบอร์มิวดาในช่วงปลายสัปดาห์หน้านี้ นับเป็นเฮอร์ริเคนลูกแรกที่ก่อตัวขึ้นในมหาสมุทรแปซิฟิกในปีนี้ ส่วนพายุโซนร้อน "อนา" ได้อ่อนกำลังลงแล้วขณะเคลื่อนตัวเข้าสู่ทะเลแคริบเบียน

มาสเตอร์การ์ด สเปนดิงพัลซ์ รายงานว่า ดีมานด์น้ำมันเบนซินค้าปลีกของสหรัฐร่วงลง 2.9% เมื่อเทียบเป็นรายสัปดาห์ ซึ่งเป็นผลมาจากอิทธิพลของพายุโซนร้อนแดนนีที่เคลื่อนตัวในบริเวณชายฝั่งตะวันออกของสหรัฐ

นักลงทุนจับตาดข้อมูลสต็อกน้ำมันดิบประจำสัปดาห์ของสหรัฐในวันพุธนี้ โดยนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่าสต็อกน้ำมันดิบอาจร่วงลง 400,000 บาร์เรล สต็อกน้ำมันกลั่นอาจเพิ่มขึ้น 500,000 บาร์เรล สต็อกน้ำมันเบนซินอาจดิ่งลง 1.1 ล้านบาร์เรล และอัตราการใช้กำลังการกลั่นน้ำมันอาจเพิ่มขึ้น 0.2%

กลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปค) จะจัดประชุมในวันที่ 9 ก.ย.นี้ ขณะที่นักลงทุนจับตาความเคลื่อนไหวของมหาอำนาจด้านพลังงานกลุ่มนี้มากเป็นพิเศษ หลังจากนายอับดุลเลาะห์ บิน ฮาหมัด อัล-อัตติยะห์ รมว.พลังงานของกาตาร์ และชี้ค อาหมัด อับดุลเลาะห์ อัล ซาบาห์ รัฐมนตรีพลังงานคูเวต ออกมาเรียกร้องให้โอเปคคงเป้าหมายการผลิตไว้เท่าเดิม

ภาวะตลาดทองคำนิวยอร์ก: ทองปิดบวก $3 หลังตลาดหุ้นร่วงกระตุ้นนลท.แห่ซื้อทองคำ
สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ) -- 29 นาทีที่แล้ว
สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดเพิ่มขึ้นเมื่อคืนนี้ (1 ก.ย.) เนื่องจากการร่วงลงของตลาดหุ้นทำให้นักลงทุนแห่เข้าเทรดในตลาดทองคำเพราะมองว่าเป็นแหล่งการลงทุนที่ปลอดความเสี่ยง

บลูมเบิร์กรายงานว่า สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือนธ.ค.ปิดที่ 956.50 ดอลลาร์/ออนซ์ เพิ่มขึ้น 3 ดอลลาร์ หลังจากเคลื่อนตัวในช่วง 947.50-958.00 ดอลลาร์

ขณะที่สัญญาโลหะเงินส่งมอบเดือนธ.ค.ปิดที่ 15.060 ดอลลาร์/ออนซ์ เพิ่มขึ้น 13.70 เซนต์ และสัญญาโลหะทองแดงส่งมอบเดือนต.ค.ลดลงสู่ระดับ 2.8185 ดอลลาร์/ปอนด์

ส่วนสัญญาพลาตินัมส่งมอบเดือนต.ค.ปิดที่ 1,226.80 ดอลลาร์/ออนซ์ ดิ่งลง 17.20 ดอลลาร์ และสัญญาพัลลาเดียมส่งมอบเดือนธ.ค.ปิดที่ 289.45 ดอลลาร์/ออนซ์ ลดลง 4.05 ดอลลาร์

เจมส์ สตีล นักวิเคราะห์จาก HSBC ในนิวยอร์ก กล่าวว่า การร่วงลงของตลาดหุ้นนิวยอร์กกระตุ้นนักลงทุนให้เข้าเทรดในตลาดทองคำเพราะเชื่อว่าในยามที่วิกฤตการณ์การเงินและภาคการธนาคารยังไม่คลี่คลายเช่นนี้ ทองคำเป็นการลงทุนที่ปลอดภัยที่สุด

นอกจากนี้ ตลาดทองคำยังได้รับแรงหนุนหลังจากสหรัฐเปิดเผยว่าดัชนีภาคการผลิตที่เพิ่มขึ้นสู่ระดับ 52.9 จุดในเดือนส.ค.จาก 48.9 จุดในเดือนก.ค. สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะอยู่ที่ 50.5 จุด และยอดทำสัญญาขายบ้านที่รอปิดการขาย (pending home sales) เพิ่มขึ้น 3.2% สู่ระดับ 97.6% ในเดือนก.ค.ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนมิ.ย.2550

ภาคผลิตจีนฟื้นตัวต่อเนื่อง ตลาดหุ้นกลับลำได้สำเร็จ
หนังสือพิมพ์ข่าวหุ้น สรุปข่าวเศรษฐกิจต่างประเทศ -- 45 นาทีที่แล้ว
ผลการสำรวจสองสำนักชี้ ภาคการผลิตของจีนฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องในเดือนที่ผ่านมาทำให้ตลาดหุ้นมีกำลังใจ ดัชนีคอมโพสิตเซี่ยงไฮ้สามารถดีดตัวขึ้นได้และช่วยดึงตลาดอื่นๆให้พุ่งไปด้วย

นายกฯจีนยืนยันคงนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจต่อไป
สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ) -- 12 ชั่วโมง 39 นาทีที่แล้ว
นายกรัฐมนตรีเหวิน เจียเป่า ของจีน กล่าวว่า จีนจะไม่เปลี่ยนแปลงทิศทางในการดำเนินนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ เนื่องจากเศรษฐกิจของจีนกำลังอยู่ในช่วงเวลาที่สำคัญอย่างยิ่งสำหรับการฟื้นตัว
นายเหวินกล่าวในการประชุมร่วมกับโรเบิร์ต โซเอลลิก ประธานธนาคารโลกที่เดินทางเยือนกรุงปักกิ่งว่า รัฐบาลจีนจะยังคงใช้นโยบายการเงินแบบผ่อนคลายปานกลางและนโยบายการคลังแบบควบคุมสถานการณ์ต่อไป สำนักข่าวซินหัวรายงาน

ดาวโจนส์ปิดลบกว่า100จุดฉุดน้ำมันดิ่งต่อ
นักลงทุนแห่เทขายหุ้นอย่างหนัก ทั้งที่ข้อมูลเศรษฐกิจออกมาน่าพอใจ ส่วนราคาน้ำมันดิบลงไปเคลื่อนไหวที่ระดับ 68 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล

ปิดการซื้อขายตลาดหุ้นสหรัฐ ดัชนีดิ่งลงอย่างหนักจากแรงเทขายทำกำไรของนักลงทุนเพื่อทำกำไร แม้ข้อมูลล่าสุดจะระบุว่า การผลิตในประเทศในเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา เพิ่มขึ้นเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เดือนมกราคมปีที่แล้ว ส่วนราคาน้ำมันดิบตลาดไนเม็กซ์ ลดลง 1.91 ดอลลาร์สหรัฐ ไปปิดที่ระดับ 68.05 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล ทำให้หลังปิดตลาด ดัชนีดาวโจนส์ ปิดที่ 9,310.60 จุด ร่วงลง 185.68 จุด หรือ 1.96% ดัชนีแนสแดค ปิดที่ 1,968.89 จุด ดิ่งลง 40.17 จุด หรือ 2% ดัชนีเอสแอนด์พี ปิดที่ 998.04 จุด ลดลง 22.58 จุด หรือ 2.21%

ดัชนีสำคัญของยุโรป ดัชนี FTSE 100 ตลาดลอนดอน ปิดที่ 4,819.70 จุด ลดลง 89.20 จุด หรือ 1.82% ดัชนี DAX ตลาดแฟรงก์เฟิร์ต ปิดที่ 5,327.29 จุด ลดลง 137.32 จุด หรือ 2.51% และดัชนี CAC 40 ตลาดปารีส ปิดที่ 3,583.44 จุด ลดลง 70.10 จุด หรือ 1.92% ส่วนราคาน้ำมันดิบเบรนต์ ตลาดลอนดอน ร่วงลง 1.92 ดอลลาร์สหรัฐ ปิดที่ 67.73 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล

ราคาทองคำตลาดนิวยอร์ก ปิดที่ 954.70 ดอลลาร์สหรัฐ/ออนซ์ เพิ่มขึ้น 3 ดอลลาร์สหรัฐ จากเมื่อวันจันทร์ซึ่งปิดที่ 951.70 ดอลลาร์สหรัฐ/ออนซ์

อัตราว่างงานปท.ยูโรโซนพุ่งสูงสุดรอบ10ปี
อัตราว่างงานของกลุ่มประเทศที่ใช้เงินสกุลยูโร หรือยูโรโซน ในเดือนกรกฎาคม พุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดในรอบ 10 ปี

ข้อมูล่าสุดระบุว่า จำนวนผู้ว่างงานในประเทศที่ใช้เงินสกุลยูโร หรือยูโรโซน ในเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา อยู่ที่ 15.1 ล้านคน คิดเป็นร้อยละ 9.5 สูงที่สุดนับตั้งแต่มีการจัดตั้งกลุ่มยูโรโซน เมื่อเดือนพฤษภาคม 2542 แต่หากพิจารณาตัวเลขผู้ว่างงานในประเทศสมาชิกสหภาพยุโรป หรืออียู 27 ประเทศ พบว่ามีผู้ว่างงาน 21.8 ล้านคน คิดเป็นร้อยละ 9 สูงที่สุดในรอบ 4 ปี โดยประเทศที่มีอัตราว่างงานสูงที่สุดในยุโรป คือสเปน ร้อยละ 18.5 รองลงมาเป็นลัตเวีย ลิทัวเนีย ไอร์แลนด์ และสโลวาเกีย

ข้อมูลดังกล่าวบ่งชี้ว่า กลุ่มประเทศยูโรโซนรวมถึงสหภาพยุโรป ยังคงได้รับผลกระทบจากวิกฤติเศรษฐกิจ แม้ว่าหลายประเทศ เช่น ฝรั่งเศส และเยอรมนี จะพ้นจากภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวแล้วก็ตาม

สภาญี่ปุ่นลงมติเลือกนายกคนใหม่16ก.ย.นี้
นายทาดะโมริ โอชิมะ สมาชิกสภาอาวุโสญี่ปุ่น กล่าวว่า สภาญี่ปุ่นจะจัดการประชุมในวันที่ 16 ก.ย.นี้ เพื่อลงมติเลือก นายยูกิโอะ ฮาโตยามะ ผู้นำพรรคประชาธิปไตยญี่ปุ่น เป็นนายกรัฐมนตรีคนใหม่ของประเทศ

พรรคดีพีเจชนะการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรอย่างถล่มทลายในการเลือกตั้งเมื่อวันอาทิตย์ ส่งผลให้พรรคเสรีประชาธิปไตย หรือ แอลดีพี ซึ่งเป็นรัฐบาลมานานกว่า 50 ปีไม่ได้บริหารประเทศอีกต่อไป และเท่ากับเป็นการสิ้นสุดภาวะชะงักงันในสภา ซึ่งพรรคดีพีเจครองเสียงข้างมากในวุฒิสภา พรรคดีพีเจให้สัญญาว่าจะจัดสรรเงินสู่ผู้บริโภคให้มากขึ้นเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ลดการใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น และแก้ไขปัญหาต่าง ๆ พร้อมกันนี้ นายฮาโตยามะ วัย 62 ปี ระบุว่าจะปรับแก้รัฐธรรมนูญใหม่ และว่านโยบายต่างประเทศญี่ปุ่นอิงกับสหรัฐมากเกินไป

ภาวะตลาดเงินนิวยอร์ก: ดอลล์พุ่งหลังกระแสวิตกภาคธนาคารหนุนนลท.เข้าซื้อดอลล์
สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ) -- 18 นาทีที่แล้ว
ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐพุ่งขึ้นเมื่อเทียบกับสกุลเงินยูโรและสกุลเงินหลักๆ ในการซื้อขายที่ตลาดปริวรรตเงินตรานิวยอร์กเมื่อคืนนี้ (1 ก.ย.) เนื่องจากความวิตกกังวลเกี่ยวกับภาคการธนาคารและภาคเศรษฐกิจโดยรวมของสหรัฐทำให้นักลงทุนหันเข้าถือครองดอลลาร์เพราะเชื่อว่าเป็นการลงทุนที่ปลอดภัย ขณะที่ค่าเงินดอลลาร์ออสเตรเลียร่วงลงอย่าวหนักหลังจากธนาคารกลางออสเตรเลียตัดสินใจคงอัตราดอกเบี้ยในการประชุมเมื่อวานนี้

บลูมเบิร์กรายงานว่า ค่าเงินดอลลาร์พุ่งขึ้น 0.81% เมื่อเทียบกับยูโรที่ระดับ 1.4213 ยูโร/ดอลลาร์ จากระดับของวันจันทร์ที่ 1.4329 ยูโร/ดอลลาร์ และพุ่งขึ้น 0.73% เมื่อเทียบกับเงินปอนด์ที่ระดับ 1.6156 ปอนด์/ดอลลาร์ จากระดับ 1.6274 ปอนด์/ดอลลาร์

นอกจากนี้ ดอลลาร์แข็งค่าขึ้น 0.68% เมื่อเทียบกับฟรังค์สวิสที่ 1.0660 ฟรังค์/ดอลลาร์ จากระดับของวันจันทร์ที่ 1.0588 ฟรังค์/ดอลลาร์ จากระดับ 1.0669 ฟรังค์/ดอลลาร์ แต่อ่อนตัวลง 0.16% เมื่อเทียบกับเงินเยนที่ 92.860 เยน/ดอลลาร์ จากระดับ 93.010 เยน/ดอลลาร์

ส่วนค่าเงินดอลลาร์ออสเตรเลียดิ่งลง 2.24% แตะที่ 0.8254 ดอลลาร์สหรัฐ/ดอลลาร์ออสเตรเลีย จากระดับ 0.8443 ดอลลาร์สหรัฐ/ดอลลาร์ออสเตรเลีย และค่าเงินดอลลาร์นิวซีแลนด์ร่วงลง 1.72% แตะที่ 0.6738 ดอลลาร์สหรัฐ/ดอลลาร์นิวซีแลนด์ จากระดับ 0.6856 ดอลลาร์สหรัฐ/ดอลลาร์นิวซีแลนด์

เมอร์เรย์ ฮินด์ลีย์ นักวิเคราะห์จาก ANZ National Bank กล่าวว่า ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐได้รับแรงหนุนเนื่องจากนักลงทุนเข้าถือครองดอลลาร์มากขึ้นเพราะเชื่อว่าเป็นการลงทุนที่ปลอดภัยในช่วงที่เศรษฐกิจสหรัฐยังคงเผชิญกับวิกฤตการณ์ในภาคการธนาคาร โดยความวิตกกังวลในเรื่องดังกล่าวมีมากขึ้นเมื่อบรรษัทประกันเงินฝากแห่งสหรัฐ (FDIC) รายงานว่า ธนาคารในสหรัฐต้องปิดตัวเองลงอีก 3 แห่ง ส่งผลให้จำนวนธนาคารที่ปิดกิจการในสหรัฐปีนี้พุ่งขึ้นเป็น 84 ราย และคาดว่าสถานการณ์ดังกล่าวจะส่งผลให้อัตราว่างงานในสหรัฐพุ่งขึ้นอีก

ค่าเงินยูโรร่วงลงหลังจากกระทรวงแรงงานเยอรมนีเปิดเผยว่าอัตราว่างงานภายในประเทศเพิ่มขึ้นแตะ 8.3% ในเดือนสิงหาคม จาก 8.2% ในเดือนกรกฎาคม โดยจำนวนผู้ลงทะเบียนว่างงานเพิ่มขึ้น 9,000 คน แตะ 3.472 ล้านคน โดยตัวเลขว่างงานดังกล่าวเป็นข้อมูลแรงงานชุดสุดท้ายที่ได้รับการเปิดเผยก่อนที่จะมีการเลือกตั้งในช่วงปลายเดือนนี้ ซึ่งผลสำรวจเผยว่านายกรัฐมนตรีแองเจล่า แมร์เคิล น่าจะได้บริหารประเทศต่อเป็นสมัยที่ 2

ขณะที่ค่าเงินดอลลาร์ออสเตรเลียได้รับแรงกดดันหลังจากธนาคารกลางออสเตรเลียตัดสินใจคงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับเดิม 3% เป็นเดือนที่ 5 ติดต่อกันในการประชุมเมื่อวานนี้ เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจให้ฟื้นตัวขึ้นจากภาวะถดถอย

นักลงทุนจับตาดูตัวเลขจ้างงานของสหรัฐซึ่งจะมีการเปิดเผยในวันศุกร์ โดยนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดการณ์ว่าตัวเลขจ้างงานประจำเดือนส.ค.ของสหรัฐจะลดลง 230,000 ราย ซึ่งเป็นสถิติที่ปรับตัวลงน้อยที่สุดในรอบ 1 ปี

ส่วนข้อมูลเศรษฐกิจที่นักลงทุนจับตาดูในสัปดาห์นี้ได้แก่ ข้อมูลประสิทธิภาพการผลิตและต้นทุนแรงงานประจำไตรมาส 2 และยอดสั่งซื้อของโรงงานเดือนก.ค. ซึ่งจะมีการเปิดเผยในวันพุธ ส่วนในวันพฤหัสบดี กระทรวงแรงงานสหรัฐจะเปิดเผยจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ และสถาบันจัดการด้านอุปทานของสหรัฐ (ISM) จะเปิดเผยดัชนีภาคบริการเดือนส.ค.

ภาวะตลาดหุ้นลอนดอน: ฟุตซี่ปิดลบ 89.20 จุด หลังดาวโจนส์ดิ่ง
Wednesday, September 02, 2009 08:00:00
ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดร่วงลงเมื่อคืนนี้ (1 ก.ย.) หลังจากเยอรมนีรายงานอัตราว่างงานที่พุ่งขึ้นอย่างรุนแรง นอกจากนี้ ตลาดหุ้นลอนดอนยังได้รับแรงกดดันจากดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กที่ร่วงลงอย่างหนัก เนื่องจากความวิตกกังวลเกี่ยวกับปัญหาในภาคการธนาคารของสหรัฐ

บลูมเบิร์กรายงานว่า ดัชนี FTSE 100 ปิดลบ 89.20 จุด แตะที่ 4,819.70 จุด หลังจากเคลื่อนตัวในช่วง 4,819.70-4,921.16 จุด

เดวิด โจนส์ นักวิเคราะห์จาก IG Idex ในลอนดอน กล่าวว่า บรรยากาศการซื้อขายในตลาดหุ้นลอนดอนซบเซาลงหลังจากดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กดิ่งลงอย่างหนัก ภายหลังจากบรรษัทประกันเงินฝากแห่งสหรัฐ (FDIC) รายงานว่า ธนาคารในสหรัฐต้องปิดตัวเองลงอีก 3 แห่ง ส่งผลให้จำนวนธนาคารที่ปิดกิจการในสหรัฐปีนี้พุ่งขึ้นเป็น 84 ราย

นอกจากนี้ ตลาดหุ้นลอนดอนยังได้รับปัจจัยลบหลังจากนเยอรมนีเปิดเผยว่าอัตราว่างงานภายในประเทศเพิ่มขึ้นแตะ 8.3% ในเดือนสิงหาคม จาก 8.2% ในเดือนกรกฎาคม โดยจำนวนผู้ลงทะเบียนว่างงานเพิ่มขึ้น 9,000 คน แตะ 3.472 ล้านคน

หุ้นกลุ่มธนาคารเป็นกลุ่มที่ถ่วงดัชนี FTSE ลงมากที่สุด โดยหุ้นธนาคาร HSBC, ลอยด์ส แบงกิง กรุ๊ป, บาร์เคลย์ส, รอยัล แบงก์ ออฟ สก็อตแลนด์ และสแตนดาร์ด ชาร์เตอร์ดดิ่งลง 1.9-4.8%
--อินโฟเควสท์--

ภาวะตลาดหุ้นลอนดอน: นิกเกอิดิ่ง 261.07 จุดเช้านี้ หลังดาวโจนส์ร่วง
Wednesday, September 02, 2009 08:09:00
ดัชนีนิกเกอิตลาดหุ้นโตเกียวร่วงลงกว่า 200 จุดในช่วงเช้าวันนี้ เพราะได้รับปัจจัยลบจากการดิ่งลงของดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์ก เนื่องจากความวิตกกังวลเกี่ยวกับปัญหาในภาคการธนาคารของสหรัฐ นอกจากนี้ เงินเยนที่แข็งค่าขึ้นได้ฉุดหุ้นบริษัทส่งออกดิ่งลงด้วย

สำนักข่าวเกียวโดรายงานว่า หลังจากตลาดเปิดทำการได้เพียง 15 นาที ดัชนีนิกเกอิร่วงลง 261.07 จุด หรือ 2.48% แตะที่ระดับ 10,268.99 จุด

โบรกเกอร์กล่าวว่า ภาวะการซื้อขายในตลาดหุ้นโตเกียวซบเซาลงมากในช่วงเช้านี้เนื่องจากดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดร่วงลงกว่า 180 จุด หลังจากบรรษัทประกันเงินฝากแห่งสหรัฐ (FDIC) รายงานว่า ธนาคารในสหรัฐต้องปิดตัวเองลงอีก 3 แห่ง ส่งผลให้จำนวนธนาคารที่ปิดกิจการในสหรัฐปีนี้พุ่งขึ้นเป็น 84 ราย

หุ้นกลุ่มประกัน กลุ่มคลังสินค้า และกลุ่มไฟแนนซ์ ร่วงลงอย่างหนัก ขณะที่หุ้นกลุ่มที่ต้องพึ่งพาการส่งออกดิ่งลงเพราะได้รับแรงกดดันจากสกุลเงินเยนที่แข็งค่าขึ้น
--อินโฟเควสท์--

Comments