News Update : 11/09/2009


ภาวะตลาดหุ้นนิวยอร์ก: ดาวโจนส์ปิดบวก 80.26 จุด หลังตัวเลขว่างงานสหรัฐร่วงเกินคาด
สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ) -- 2 ชั่วโมง 0 นาทีที่แล้ว
ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดบวกเมื่อคืนนี้ (10 ก.ย.) ซึ่งเป็นสถิติที่ปิดบวกติดต่อกัน 5 วัน เนื่องจากนักลงทุนขานรับตัวเลขว่างงานรายสัปดาห์ที่ปรับตัวลดลงในสหรัฐ และราคาน้ำมันที่ดีดตัวขึ้นได้หนุนหุ้นกลุ่มพลังงานพุ่งขึ้นด้วย นอกจากนี้ การที่บริษัทพร็อคเตอร์ แอนด์ แกมเบิล (พีแอนด์จี) ปรับเพิ่มคาดการณ์ผลประกอบการ และอัตราดอกเบี้ยพันธบัตรที่ปรับตัวลดลง ยังเป็นอีกปัจจัยที่กระตุ้นภาวะการซื้อขายในตลาดหุ้นนิวยอร์กให้คึกคักขึ้นด้วย

ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดบวก 80.26 จุด หรือ 0.84% แตะที่ 9,627.48 จุด ขณะที่ดัชนี S&P 500 ปิดบวก 10.77 จุด หรือ 1.04% แตะที่ 1,044.14 จุด และดัชนี Nasdaq ปิดบวก 23.63 จุด หรือ 1.15% แตะที่ 2,084.02 จุด

ปริมาณการซื้อขายในตลาดหุ้นนิวยอร์กมีอยู่ราว 1.49 พันล้านหุ้น มีจำนวนหุ้นบวกมากกว่าหุ้นลบในอัตราส่วน 23 ต่อ 7 ส่วนปริมาณการซื้อขายในตลาด Nasdaq มีอยู่ราว 2.45 พันล้านหุ้น

เดวิด บีอันโค หัวหน้านักวิเคราะห์หลักทรัพย์จากแบงค์ ออฟ อเมริกา-เมอร์ริล ลินช์ ในนิวยอร์ก กล่าวกับเอพีว่า ภาวะการซื้อขายในตลาดหุ้นนิวยอร์กคึกคักขึ้นทันทีที่กระทรวงแรงงานสหรัฐเดเผยว่า จำนวนชาวอเมริกันที่ขอรับสวัสดิการระหว่างว่างงานในรอบสัปดาห์ที่แล้ว ลดลงสู่ระดับ 550,000 ราย ขณะที่นักวิเคราะห์ว่าจะอยู่ที่ระดับ 560,000 ราย ขณะที่การพุ่งขึ้นของราคาน้ำมันได้หนุนหุ้นกลุ่มพลังงานดีดตัวขึ้น

นอกจากนี้ ตลาดหุ้นนิวยอร์กยังคงได้รับปัจจัยบวกจากรายงานของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ที่ระบุว่าเศรษฐกิจในภูมิภาคส่วนใหญ่ของสหรัฐเริ่มมีเสถียรภาพ และบางภูมิภาคฟื้นตัวมากกว่าที่คาดการณ์ไว้ ซึ่งเป็นหลักฐานชี้ชัดว่าภาวะเศรษฐกิจถดถอยรุนแรงที่นับตั้งแต่ช่วงทศวรรษที่ 1930 ในสหรัฐได้ยุติลงแล้ว

"เฟดเกือบทั้ง 12 สาขารายงานตรงกันว่า กิจกรรมทางเศรษฐกิจ 'มีเสถียรภาพ' ขณะที่โครงการนำรถยนต์คันเก่าแลกคันใหม่ช่วยกระตุ้นยอดขายรถยนต์เพิ่มขึ้น ส่วนภาคอุตสาหกรรมในภูมิภาคส่วนใหญ่ฟื้นตัวขึ้นในระดับปานกลาง โดยยอดขายเซมิคอนดัคเตอร์และสินค้าไอทีประเภทอื่นๆในเขตซานฟรานซิสโกปรับตัวสูงขึ้น ขณะที่ยอดการผลิตรถยนต์ในริชมอนด์ แอตแลนต้า ชิคาโก และมินเนอาโพลิส เพิ่มขึ้น ขณะที่ยอดการผลิตสินค้าเวชภัณฑ์ในภูมิภาคส่วนใหญ่ฟื้นตัวขึ้น" รายงานของเฟดระบุ

อย่างไรก็ตาม ตลาดได้รับแรงกดดันหลังจากเรียลตี้แทรค อิงค์ ซึ่งเป็นองค์กรเอกชนที่ให้บริการข้อมูลด้านอสังหาริมทรัพย์ รายงานว่า จำนวนบ้านถูกยึดในสหรัฐประจำเดือนส.ค.พุ่งขึ้น 18% แตะที่ 358,471 หลัง ซึ่งเป็นสถิติที่ปรับตัวขึ้นติดต่อกัน 6 เดือน เนื่องจากอัตราว่างงานที่พุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดในรอบ 26 ปี ทำให้กลุ่มเจ้าของบ้านไม่สามารถชำระค่าผ่อนบ้านและดอกเบี้ยได้

ทั้งนี้ หุ้นยาฮูปิดบวก 4.5% หลังจากนักวิเคราะห์ของแบงก์ ออฟ อเมริกา ซีเคียวริตีส์-เมอร์ริล ลินช์ รีเสิร์ชปรับเพิ่มอันดับความน่าลงทุนของหุ้นยาฮู ส่วนหุ้นกลุ่มสายการบินพุ่งขึ้น 6.7% หลังจากเจพีมอร์แกนปรับเพิ่มอันดับความน่าลงทุนของยูเอแอล คอร์ป และยูเอส แอร์เวยส์ กรุ๊ป อิงค์
นอกจากนี้ หุ้นพีแอนด์จีดีดตัวขึ้น 4.2% หุ้นมอนซานโต้ปิดลบ 5%

ภาวะตลาดน้ำมัน NYMEX: น้ำมันดิบพุ่ง 63 เซนต์ หลังสต็อกน้ำมันร่วง-IEA เพิ่มคาดการณ์ดีมานด์
สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ) -- 1 ชั่วโมง 32 นาทีที่แล้ว
สัญญาน้ำมันดิบตลาดนิวยอร์กปิดพุ่งขึ้นเมื่อคืนนี้ (10 ก.ย.) ซึ่งเป็นสถิติที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นติดต่อกันวันที่ 3 หลังจากกระทรวงพลังงานสหรัฐรายงานว่า สต็อกน้ำมันดิบในรอบสัปดาห์ที่แล้วปรับตัวลดลงเกินคาด และหลังจากสำนักงานพลังงานสากล (IEA) ปรับเพิ่มคาดการณ์ดีมานด์น้ำมันทั่วโลกในปีนี้ นอกจากนี้ ตลาดน้ำมันนิวยอร์กยังได้รับปัจจัยบวกจากกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปค) ที่มีมติคงเพดานการผลิตน้ำมันในการประชุมครั้งล่าสุด

บลูมเบิร์กรายงานว่า สัญญาน้ำมันดิบตลาด NYMEX (New York Mercantile Exchange) ส่งมอบเดือนต.ค.เพิ่มขึ้น 63 เซนต์ ปิดที่ 71.94 ดอลลาร์/บาร์เรล หลังจากเคลื่อนตัวในช่วง 72.00-71.40 ดอลลาร์/ออนซ์

ขณะที่สัญญาน้ำมันเบนซินส่งมอบเดือนต.ค.ลดลง 2.45 เซนต์ ปิดที่ 1.8036 ดอลลาร์/แกลลอน และสัญญาน้ำมันฮีทติ้งออยล์ส่งมอบเดือนต.ค.ลดลง 0.55 เซนต์ ปิดที่ 1.7855 ดอลลาร์/แกลลอน

ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ที่ตลาด ICE กรุงลอนดอน ส่งมอบเดือนต.ค.เพิ่มขึ้น 42 เซนต์ ปิดที่ 70.25 ดอลลาร์/บาร์เรล

ฟิล ไฟน์ นักวิเคราะห์จากจาก PFGBest กล่าวว่า นักลงทุนเข้าซื้อสัญญาน้ำมันดิบอย่างคับคั่งต่อเนื่องจากเมื่อวันก่อน หลังจากกระทรวงพลังงานสหรัฐรายงานว่า สต็อกน้ำมันดิบในรอบสัปดาห์ที่แล้ว ร่วงลง 5.9 ล้านบาร์เรล แตะระดับ 337.5 ล้านบาร์เรล ซึ่งลดลงมากกว่าที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่าจะลดลงเพียง 1.5 ล้านบาร์เรล

ขณะสำนักงานพลังงานสากล (IEA) คาดการณ์ว่า ความต้องการน้ำมันทั่วโลกในปี 2552 จะเพิ่มขึ้น 1.5% แตะที่ระดับ 84.4 ล้านบาร์เรล/วัน ซึ่งเพิ่มขึ้น 490,000 บาร์เรลจากการคาดการณ์ในเดือนที่แล้ว พร้อมกันนี้ IEA ยังได้คาดการณ์ดีมานด์น้ำมันปี 2553 ว่าจะอยู่ที่ระดับ 85.7 ล้านบาร์เรล/วัน มากกว่าที่คาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้ราว 450,000 บาร์เรล/วัน

IEA กล่าวในรายงานว่า "มีหลักฐานบ่งชี้มากขึ้นว่าเศรษฐกิจโลกกำลังมีเสถียรภาพ ซึ่งเป็นผลมาจากภาคอุตสาหกรรมเริ่มฟื้นตัวขึ้นและรัฐบาลทั่วโลกใช้มาตรการฟื้นฟูเศรษฐกิจ ซึ่งทำให้ดีมานด์น้ำมันในสหรัฐ จีน และประเทศอื่นๆในเอเชีย ปรับตัวขึ้นมากกว่าที่คาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้ แต่ปัจจัยหลักที่ทำให้ดีมานด์น้ำมันทั่วโลกสูงขึ้นในปีนี้มาจากปริมาณการใช้น้ำมันที่เพิ่มขึ้นในจีน ซึ่งเป็นผลมาจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการที่จีนสำรองน้ำมันมากขึ้น"

ที่ประชุมโอเปคมีมติคงเป้าหมายการผลิตน้ำมันไว้เท่าเดิม 24.845 ล้านบาร์เรลต่อวัน พร้อมกับออกแถลงการณ์ว่า "จากการทบทวนภาวะตลาดน้ำมันในปัจจุบันและแนวโน้มในอนาคต พบว่า แม้มีสัญญาณการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ แต่หลายประเทศยังคงวิตกกังวลเกี่ยวกับอัตราการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ในกลุ่มโออีซีดี ขณะที่ปริมาณสต็อกน้ำมันดิบส่วนเกินได้ลดลงบางส่วน ดังนั้น เมื่อพิจารณาจากความเสี่ยงในช่วงขาลงทางเศรษฐกิจแล้ว ที่ประชุมโอเปคจึงมีมติร่วมกันว่าจะคงระดับการผลิตในปัจจุบันไว้ต่อไปอีกระยะหนึ่ง"

สหรัฐเผยสต็อกน้ำมันดิบร่วงลงเกินคาด 5.9 ล้านบาร์เรล ขณะสต็อกเบนซินเพิ่ม 2 ล้านบาร์เรล
สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ) -- 1 ชั่วโมง 53 นาทีที่แล้ว
กระทรวงพลังงานสหรัฐรายงานว่า สต็อกน้ำมันดิบในรอบสัปดาห์ที่แล้ว ร่วงลง 5.9 ล้านบาร์เรล แตะระดับ 337.5 ล้านบาร์เรล ซึ่งลดลงมากกว่าที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่าจะลดลงเพียง 1.5 ล้านบาร์เรล
ขณะที่สต็อกน้ำมันกลั่นเพิ่มขึ้น 2 ล้านบาร์เรล แตะระดับ 165.6 ล้านบาร์เรล ซึ่งเพิ่มขึ้นมากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะขยับขึ้นเพียง 800,000 บาร์เรล และสต็อกน้ำมันเบนซินเพิ่มขึ้น 2.1 ล้านบาร์เรล แตะระดับ 207.2 ล้านบาร์เรล สวนทางกับที่คาดว่าจะลดลง 1.3 ล้านบาร์เรล ส่วนอัตราการใช้กำลังการกลั่นน้ำมันทรงตัวที่ 87.2%

บลูมเบิร์กรายงานว่า สต็อกน้ำมันข้างต้นไม่นับรวมกับคลังน้ำมันสำรองทางยุทธศาสตร์ (Strategic Petroleum Reserve) ของสหรัฐซึ่งปัจจุบันมีน้ำมันดิบสำรองอยู่ประมาณ 689 ล้านบาร์เรล แต่รัฐบาลสหรัฐประกาศให้ปรับเพิ่มคลังน้ำมันสำรองประเภทดังกล่าวขึ้นสู่ระดับ 1.5 ล้านบาร์เรลภายในปีพ.ศ. 2570 เพื่อรับมือกับภาวะติดขัดที่อาจเกิดจากภัยพิบัติทางธรรมชาติและการโจมตีของผู้ก่อการร้าย

ภาวะตลาดเงินนิวยอร์ก: ดอลล์ร่วงหนัก หลังนักลงทุนแห่เทรดตลาดหุ้น-สินค้าโภคภัณฑ์
สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ) -- 1 ชั่วโมง 11 นาทีที่แล้ว
ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐยังคงร่วงลงเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลักๆในการซื้อขายที่ตลาดปริวรรตเงินตรานิวยอร์กเมื่อคืนนี้ (10 ก.ย.) เนื่องจากการพุ่งขึ้นของตลาดหุ้นและตลาดสินค้าโภคภัณฑ์ได้กระตุ้นนักลงทุนให้เข้าถือครองสกุลเงินที่ให้อัตราผลตอบแทนสูงกว่า นอกจากนี้ การที่อัตราดอกเบี้ยในสหรัฐอยู่ในระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ ยิ่งทำให้สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐมีความน่าสนใจน้อยลงเมื่อเทียบกับสกุลเงินอื่นๆ รวมถึงยูโรและปอนด์

บลูมเบิร์กรายงานว่า ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐดิ่งลง 0.17% เมื่อเทียบกับยูโรที่ระดับ 1.4584 ยูโร/ดอลลาร์ จากระดับของวันพุธที่ 1.4559 ยูโร/ดอลลาร์ และดิ่งลง 0.36% เมื่อเทียบกับเงินเยนที่ 91.700 เยน/ดอลลาร์ จากระดับ 92.030 เยน/ดอลลาร์

นอกจากนี้ ดอลลาร์สหรัฐร่วงลง 0.25% เมื่อเทียบกับฟรังค์สวิสที่ 1.0377 ฟรังค์/ดอลลาร์ จากระดับ 1.0403 ฟรังค์/ดอลลาร์ และดิ่งลง 0.74% เมื่อเทียบกับเงินปอนด์ที่ 1.6663 ปอนด์/ดอลลาร์ จากระดับ 1.6540 ปอนด์/ดอลลาร์

ส่วนค่าเงินดอลลาร์ออสเตรเลียดีดขึ้น 0.09% แตะที่ 0.8636 ดอลลาร์สหรัฐ/ดอลลาร์ออสเตรเลีย จากระดับ 0.8628 ดอลลาร์สหรัฐ/ดอลลาร์ออสเตรเลีย และดอลลาร์นิวซีแลนด์พุ่งขึ้น 0.96% แตะที่ 0.7032 ดอลลาร์สหรัฐ/ดอลลาร์นิวซีแลนด์ จากระดับ 0.6965 ดอลลาร์สหรัฐ/ดอลลาร์นิวซีแลนด์

สตีเฟ่น อิงแลนเดอร์ หัวหน้านักวิเคราะห์ด้านปริวรรตเงินตราจากบาร์เคลย์ส แคปิตอล ในนิวยอร์กกล่าวว่า ดอลลาร์สหรัฐร่วงลงอย่างต่อเนื่อง หลังจากมีข้อมูลบ่งชี้ว่าเศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัวขึ้น รวมถึงข้อมูลล่าสุดที่ระบุว่าจำนวนคนว่างงานในสหรัฐลดลงมากกว่าที่คาดการณ์ไว้ ข้อมูลดังกล่าวทำให้นักลงทุนเทขายดอลลาร์หลังจากเคยมองว่าเป็นการลงทุนที่ปลอดภัยในยามที่เศรษฐกิจยังผันผวน

อิงแลนด์เดอร์กล่าวว่า การพุ่งขึ้นของตลาดหุ้นและตลาดสินค้าโภคภัณฑ์ได้กระตุ้นนักลงทุนให้เข้าถือครองสกุลเงินที่ให้อัตราผลตอบแทนสูงกว่า โดยเมื่อคืนนี้ตลาดหุ้นนิวยอร์กทะยานขึ้นหลังจากกระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยว่า จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรกลดลงเกินคาด สู่ระดับ 550,000 รายในสัปดาห์ที่สิ้นสุดวันที่ 5 ก.ย. โดยลดลงจากระดับ 576,000 รายในสัปดาห์ก่อนหน้า ขณะที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้ว่าตัวเลขดังกล่าวจะอยู่ที่ 560,000 ราย

นักลงทุนจับตาดูข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐในวันศุกร์นี้ รวมถึงตัวเลขราคานำเข้าและส่งออกเดือนส.ค., ดัชนีความเชื่อมั่นขั้นต้นเดือนก.ย. และรายงานตัวเลขงบประมาณของรัฐบาลกลางประจำเดือนส.ค.

ธนาคารกลางอังกฤษประกาศตรึงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับต่ำสุด 0.5% เป็นเดือนที่ 6 ติดต่อกัน ในการประชุมคณะกรรมการกำหนดนโยบายเมื่อวานนี้ หลังจากมีข้อมูลบ่งชี้ว่าภาวะเศรษฐกิจถดถอยในอังกฤษจะเริ่มคลี่คลายลง พร้อมกันนี้ธนาคารกลางได้ประกาศคงนโยบายซื้อสินทรัพย์คืนมูลค่า 1.75 แสนล้านปอนด์ต่อไป เพื่อเพิ่มปริมาณเงินหมุนเวียนในระบบ

ภาวะตลาดทองคำนิวยอร์ก: ทองคำปิดลบ 30 เซนต์ แต่แรงซื้อยังคึกคักหลังดอลล์อ่อนค่า
สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ) -- 44 นาทีที่แล้ว
สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดลบเล็กน้อยเมื่อคืนนี้ (10 ก.ย.) แต่สัญญาทะยานขึ้นเหนือระดับ 1,000 ดอลลาร์ในระหว่างวันเนื่องจากนักลงทุนยังคงเข้าซื้อ หลังจากสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนตัวลงเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลักๆ

บลูมเบิร์กรายงานว่า สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือนธ.ค.ปิดที่ 996.80 ดอลลาร์/ออนซ์ ลดลง 30.00 เซนต์ หลังจากเคลื่อนตัวในช่วง 983.20-1,000.50 ดอลลาร์

ขณะที่สัญญาโลหะเงินส่งมอบเดือนธ.ค.ปิดที่ 16.670 ดอลลาร์/ออนซ์ เพิ่มขึ้น 20.00 เซนต์
ส่วนสัญญาพลาตินัมส่งมอบเดือนต.ค.ปิดที่ 1,289.70 ดอลลาร์/ออนซ์ ลดลง 1.70 ดอลลาร์ และสัญญาพัลลาเดียมส่งมอบเดือนธ.ค.ปิดที่ 293.45 ดอลลาร์/ออนซ์ ลดลง 1.60 ดอลลาร์

มิเชล เปเรซ แซทอลลา นักวิเคราะห์จาก Heraeus Precious Metals Management ในนิวยอร์กกล่าวว่า แม้สัญญาทองคำปิดลบ แต่ในระหว่งวันสัญญาทองคำทะยานขึ้นเหนือระดับ 1,000 ดอลลาร์ในระหว่างวันเพราะได้รับปัจจัยบวกจากสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐที่อ่อนตัวลงเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลักๆ เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยในระดับต่ำของสหรัฐทำให้นักลงทุนเมินสกุลเงินดอลลาร์และเข้าถือครองสกุลเงินที่ให้อัตราผลตอบแทนสูงกว่า

"ทองคำมีแนวโน้มดีดตัวขึ้นปิดที่ระดับ 1,000 ดอลลาร์ในเร็วๆนี้หากสกุลเงินดอลลาร์ยังอ่อนค่าลงอย่างต่อเนื่อง และเมื่อปิดเหนือแนวต้านที่ระดับ 1,000 ดอลลาร์ได้แล้ว สัญญาทองคำอาจจะพุ่งขึ้นไปแตะ 1,250-1,300 ดอลลาร์ในอีก 6 เดือนข้างหน้า" เอียน วิลเลียมส์ นักวิเคราะห์จาก Charteris Portfolio Managers คาดการณ์

รายงานระบุว่า ประธานาธิบดีบารัค โอบามา ขอให้ชาวอเมริกันทุกคนหยุดการทำกิจกรรม และขอให้ตลาดหุ้น ตลาดเงิน และตลาดสินค้าโภคภัณฑ์นิวยอร์ก หยุดทำการซื้อขายในเวลา 08.46 น.ตามเวลานิวยอร์กในวันศุกร์ เพื่อไว้อาลัยแก่ผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์ก่อการร้ายในสหรัฐที่เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 11 ก.ย.ปี 2544

จ้างงานสหรัฐโงหัวไม่ขึ้นยันปีหน้า
หนังสือพิมพ์ข่าวหุ้น สรุปข่าวเศรษฐกิจต่างประเทศ -- 3 ชั่วโมง 2 นาทีที่แล้ว
ภาพการจ้างงานในสหรัฐจะยังคงไม่สดใสไปจนถึงปีหน้า หลังจากที่ภาวะถดถอยยุติลงนานแล้ว แต่วิกฤติตลาดแรงงานที่เลวร้ายที่สุดยุติลงแล้ว

ผลการสำรวจความเห็นจากนักเศรษฐศาสตร์เอกชน ของบลูชิพ อีโคโนมิคอินดิเคเตอร์ ในเดือนกันยายนพบว่า นักเศรษฐศาสตร์เอกชนมองว่า อัตราการว่างงานจะอยู่ที่ 10% เป็นอย่างน้อยในต้นปี 2553 และจะลดลงจากระดับนั้นเมื่อเลยครึ่งปีหลังไปแล้วเท่านั้น

ธนาคารกลางอังกฤษคงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับต่ำสุด 0.5% ตามคาด
สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ) -- 14 ชั่วโมง 17 นาทีที่แล้ว
ธนาคารกลางอังกฤษประกาศตรึงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับต่ำสุด 0.5% เป็นเดือนที่ 6 ติดต่อกัน ในการประชุมคณะกรรมการกำหนดนโยบายวันนี้ หลังจากมีข้อมูลบ่งชี้ว่าภาวะเศรษฐกิจถดถอยในอังกฤษจะเริ่มคลี่คลายลง

พร้อมกันนี้ธนาคารยังได้ประกาศคงนโยบายซื้อสินทรัพย์คืนมูลค่า 1.75 แสนล้านปอนด์ต่อไป เพื่อเพิ่มอุปทานเงินในระบบ

ธนาคารกลางอังกฤษระบุว่า ข้อมูลเศรษฐกิจที่มีการเปิดเผยในระยะหลังมานี้ชี้ให้เห็นว่าอังกฤษกำลังจะหลุดพ้นจากภาวะถดถอย แต่ก็เตือนว่า การฟื้นตัวยังเป็นไปอย่างช้าๆและอาจต้องใช้เวลานาน และขณะเดียวกันก็อาจต้องใช้เวลาหลายเดือนกว่าที่นโยบายต่างๆที่ธนาคารนำมาใช้จะส่งผลอย่างชัดเจนเต็มที่

ทั้งนี้ หลังจากที่ได้มีการลดดอกเบี้ยมาอย่างต่อเนื่องจนทำให้ขณะนี้ดอกเบี้ยของอังกฤษลดลงมาอยู่ในระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์แล้ว ธนาคารกลางอังกฤษจึงตัดสินใจใช้นโยบายทางการเงินที่เรียกว่า Quantitative Easing หรือมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ เมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา โดยมีเป้าหมายเพื่อผ่อนคลายแรงกดดันต่อสภาพคล่องและเพิ่มอุปทานเงินในประเทศผ่านทางการซื้อพันธบัตรรัฐบาลและหุ้นกู้เอกชน

โดยเมื่อเดือนที่แล้ว ธนาคารได้เพิ่มขนาดของโครงการซื้อสินทรัพย์คืนอีก 5 หมื่นล้านปอนด์ (7.54 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ) รวมเป็น 1.75 แสนล้านปอนด์ (2.9 แสนล้านดอลลาร์)

ภาวะตลาดหุ้นลอนดอน: แรงขายทำกำไร ถ่วงฟุตซี่ปิดลบ 16.62 จุด
Friday, September 11, 2009 08:05:00
ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดลบเมื่อคืนนี้ (10 ก.ย.) เนื่องจากนักลงทุนเทขายทำกำไรหลังจากดัชนีทะยานขึ้นติดต่อกัน 4 วัน อย่างไรก็ตาม ดัชนี FTSE 100 ปิดลบเพียงเล็กน้อยเนื่องจากมีแรงซื้อเข้าหนุนในระหว่างวัน เพราะได้รับปัจจัยบวกจากข้อมูลเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งของสหรัฐ และหลังจากธนาคารกลางอังกฤษประกาศคงอัตราดอกเบี้ยพร้อมกับคงนโยบายซื้อสินทรัพย์

บลูมเบิร์กรายงานว่า ดัชนี FTSE 100 ปิดลบ 16.62 จุด หรือ 0.33% แตะที่ 4,987.68 จุด หลังจากเคลื่อนตัวในช่วง 4,956.56-5,035.34 จุด

จิมมี ยาเตส หัวหน้านักวิเคราะห์จาก CMC Markets ในลอนดอน กล่าวว่า ตลาดหุ้นลอนดอนได้รับแรงหนุนหลังจากกระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยว่า จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรกลดลงเกินคาด สู่ระดับ 550,000 รายในสัปดาห์ที่สิ้นสุดวันที่ 5 ก.ย. โดยลดลงจากระดับ 576,000 รายในสัปดาห์ก่อนหน้า ขณะที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้ว่าตัวเลขดังกล่าวจะอยู่ที่ 560,000 ราย

ธนาคารกลางอังกฤษประกาศตรึงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับต่ำสุด 0.5% เป็นเดือนที่ 6 ติดต่อกัน ในการประชุมคณะกรรมการกำหนดนโยบายเมื่อวานนี้ หลังจากมีข้อมูลบ่งชี้ว่าภาวะเศรษฐกิจถดถอยในอังกฤษจะเริ่มคลี่คลายลง พร้อมกันนี้ธนาคารกลางได้ประกาศคงนโยบายซื้อสินทรัพย์คืนมูลค่า 1.75 แสนล้านปอนด์ต่อไป เพื่อเพิ่มปริมาณเงินหมุนเวียนในระบบ

อย่างไรก็ตาม ตลาดถูกกดดันอย่างหนักในช่วงบ่ายเนื่องจากนักลงทุนเข้ามาเทขายทำกำไรและฉุดดัชนีปิดตลาดลดลง โดยหุ้นบีพี ดิ่งลง 1.2% หลังจากนักวิเคราะห์ของ HSBC ปรับลดน้ำหนักความน่าลงทุนของหุ้นดังกล่าวลงสู่ระดับ “neutral" จากระดับ “overweight" ขณะที่หุ้นเชลล์ปิดร่วง 0.6%

ส่วนหุ้นกลุ่มธนาคารร่วงลงจากแรงขายทำกำไร โดยหุ้นธนาคาร HSBC ปิดลบ 1% หุ้นรอยัล แบงก์ ออฟ สก็อตแลนด์ ปิดร่วง 1.5% และหุ้นลอยด์ส แบงกิง กรุ๊ป ดิ่งลง 1.9%
--อินโฟเควสท์--

ภาวะตลาดหุ้นโตเกียว: นิกเกอิร่วง 51.81 จุดเช้านี้ หลังญี่ปุ่นเผยจีดีพี Q2 โตน้อยเกินคาด
Friday, September 11, 2009 08:45:10
ดัชนีนิกเกอิตลาดหุ้นโตเกียวร่วงลงในช่วงเช้านี้ หลังจากสกุลเงินดอลลาร์อ่อนตัวลงและฉุดหุ้นกลุ่มส่งออกดิ่งลงด้วย นอกจากนี้ ตลาดยังได้ปัจจัยลบหลังจากทางการญี่ปุ่นระบุว่าเศรษฐกิจขยายตัวน้อยเกินคาดในไตรมาส 2

สำนักข่าวเกียวโดรายงานว่า หลังจากตลาดเปิดทำการได้เพียง 15 นาที ดัชนีนิกเกอิร่วงลง 51.81 จุด หรือ 0.49% แตะที่ระดับ 10,461.86 จุด

ภาวะการซื้อขายในตลาดซบเซาลงหลังจากสำนักงานคณะรัฐมนตรีญี่ปุ่นรายงานว่า ตัวเลขจีดีพีไตรมาส 2 ขยายตัวในอัตรา 2.3%ต่อปี ลดลงจากที่เคยประเมินไว้ก่อนหน้านี้ที่ 3.7%ต่อปี
--อินโฟเควสท์--

ญี่ปุ่นปรับลด GDP Q2/52 ขยายตัวเพียง 2.3%ต่อปี จากเดิม 3.7%ต่อปี
Friday, September 11, 2009 09:04:57
สำนักงานคณะรัฐมนตรีญี่ปุ่นได้ปรับลดการขยายตัวของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ไตรมาส 2 ของญี่ปุ่น โดยระบุว่าจีดีพีไตรมาส 2 ขยายตัวในอัตรา 2.3%ต่อปี ต่ำกว่าก่อนหน้านี้ที่ได้รายงานไว้ว่าขยายตัว 3.7%ต่อปี

อย่างไรก็ตาม แม้จะเป็นการปรับลดตัวเลขจีดีพีลง แต่ก็ยังถือว่าจีดีพีญี่ปุ่นขยายตัวเป็นครั้งแรกในรอบ 5 ไตรมาสเพราะได้แรงหนุนจากยอดส่งออกที่ฟื้นตัวขึ้นและมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล

สำนักงานคณะรัฐมนตรีฯระบุว่า ปัจจัยสำคัญที่ทำให้ญี่ปุ่นต้องปรับลดตัวเลขจีดีพีไตรมาส 2 มาจากการร่วงลงตัวเลขการใช้จ่ายผู้บริโภคและอัตราการลงทุน
--อินโฟเควสท์--

Comments