สวัสดีปีใหม่ 2555
365 วันที่เราเพิ่งผ่านพ้นไป หรือคิดให้มันดูแยะหน่อย ก็ 8,760 ชม. หรือ 525,600 นาที หรือ 31.54 ล้านกว่าวินาที มีใครรู้สึกว่าได้ทำในสิ่งที่ตั้งใจไว้ตั้งแต่ต้นปีที่แล้วหรือไม่ ส่วนตัวผมก็ได้ทำแล้ว แต่รู้สึกยังไม่บรรลุผลเท่าที่ควร ทำให้อาจจะต้องมานั่งคิดนั่งทบทวนกันอีกที เพื่อที่จะได้วางแผนว่าในอีก 365 วันข้างหน้า (ปีนี้มี 366 วันนะครับ มีเวลาเพิ่มมาอีกตั้ง 1 วันแนะ แฮะๆ) เราจะต้องทำอะไรอย่างไร และก็คงมีหลายคนที่กำลังนั่งคิด นั่งทบทวน และนั่งวางแผน (จะนอนคิด เข้าห้องน้ำคิด ก็ได้ไม่ว่ากัน) เหมือนกับผมเช่นเดียวกัน ในความเห็นของผมนะ การตั้งเป้าหมายก็เหมือนกับการตั้งโจทย์ให้กับชีวิต เพราะฉะนั้นโจทย์ถือเป็นเรื่องสำคัญ มันจะกำหนดทัศนคติการดำเนินชีวิตของเรา เพื่อให้ได้มาซึ่งคำตอบนั้น ถ้าตั้งโจทย์ผิดไป ถึงแม้เราจะตอบโจทย์นั้นได้ แต่เราอาจจะไม่สุข สมหวังจริงอย่างที่เราวาดภาพไว้ หรือไม่เราก็อาจจะไม่รู้สึกว่าเป็นคำตอบที่ใช่ (เพราะเราอาจถามไม่ตรงคำตอบ) เป็นที่มาของเรื่องเล่าที่ผมจะมาแบ่งปันกัน เพื่อใครที่กำลังคิดและทบทวนโจทย์ในชีวิตของตัวเอง ว่าสิ่งที่เราต้องการในชีวิต หรือที่เรียกว่าเป้าหมายนั้นแท้จริงแล้วมันคืออะไรกันแน่ ว่าแล้วเราก็ไปหาคำตอบกัน
ชาวประมงเม็กซิกัน
ในหมู่บ้านชาวประมงที่เงียบสงบแห่งหนึ่งในเม็กซิโก ชายชาวอเมริกาคนหนึ่งซึ่งมาพักผ่อนอยู่ที่หมู่บ้านนี้ กำลังเฝ้าดูชาวประมงคนหนึ่งขนปลาที่เขาจับได้ในเช้าวันนั้นลงจากเรือ ชายชาวอเมริกันคนนี้เป็นที่ปรึกษาทางธุรกิจที่ประสบความสำเร็จอย่างสูง และเขายังสอนอยู่ในมหาวิทยาลัยธุรกิจชื่อดัง ดังนั้น เขาจึงอดไม่ได้ที่จะให้คำแนะนำแก่ชายชาวประมงเม็กซิกันโดยไม่คิดค่าตอบแทนใดๆ
“นิ่นาย!” ชาวอเมริกันเริ่มบทสนทนา “ทำไมนายถึงเลิกจับปลาแต่เช้าอย่างนี้?”
“เพราะผมจับปลาได้เพียงพอแล้วซิครับ” ชาวประมงตอบอย่างอารมณ์ดี “พอเพียงที่จะเป็นอาหารของครอบครัวแล้ว ยังเหลืออีกเล็กน้อยเอาไว้ขายด้วย เดี๋ยวผมก็จะไปกินข้าวกลางวันกับเมีย แล้วเงียบสักหน่อยตอนบ่าย ตื่นมาเล่นกับลูกๆ หลังกลับมาจากโรงเรียน พอหลังอาหารเย็นผมก็จะไปร้านเหล้าดื่มสักหน่อย เล่นกีตาร์กับเพื่อนๆ มันพอเพียงสำหรับผมแล้วครับ”
“นี่แนะ สหาย ฟังนะ” ที่ปรึกษาทางธุรกิจพูด “ถ้านายอยู่ในทะเลจนถึงบ่ายแก่ๆละก็ นายจะจับปลาได้มากขึ้นซักสองเท่าอย่างสบายๆ นายขายปลาที่เหลือจากที่กินในครอบครัว รวบรวมเงินสักหกเดือนหรืออาจจะเก้าเดือน นายก็จะสามารถซื้อเรือที่ใหญ่กว่าและดีกว่าลำนี้ แล้วก็จ้างลูกเรือด้วย ที่นี้นายจะสามารถจับปลาได้มากขึ้นถึงสี่เท่า คิดซิว่านายจะทำเงินได้มากขนนาดไหน! ภายในปีหรือสองปี นายจะมีเงินลงทุนซื้อเรือหาปลาลำที่สอง แล้วจ้างลูกเรืออีกทีม ถ้านายทำตามแผนธุรกิจนี้นะ ภายในหกถึงเจ็ดปีนายจะได้เป็นเจ้าของกองเรือประมงขนาดใหญ่ที่น่าภาคภูมิใจยิ่ง ลองวาดภาพดูซิ จากนั้นนายควรย้ายสำนักใหญ่เข้าไปในเมืองหลวง แค่สามหรือสี่ปีนายสามารถเอาบริษัทของนายเข้าตลาดหุ้น ตั้งตัวนายเองเป็น ซี.อี.โอ รับเงินเดือนและผลตอบแทนก้อนงาม หรือจะเลือกเป็นหุ้นจำนวนมากแทนก็ได้ แล้วอีกไม่กี่ปีต่อจากนี้ ฟังให้ดีนะ! นายก็เริ่มแผนการซื้อหุ้นบริษัทคืน ซึ่งจะทำให้นายกลายเป็นมหาเศรษฐี! รับประกันเลยละ! ผมเป็นที่ปรึกษาทางธุรกิจ ผมรู้เรื่องนี้ดี”
ชายชาวประมงตั้งใจฟังทุกอย่างที่ชาวอเมริกันพูด เมื่อที่ปรึกษาทางธุรกิจพูดจบ เขาจึงถามขึ้นว่า “ท่านครับ แล้วผมจะเอาเงินหลายล้านดอลลาร์ไปทำอะไรเล่าครับ?”
เป็นเรื่องที่น่าแปลกใจยิ่งที่ ผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นที่ปรึกษาทางธุรกิจที่ประสบความสำเร็จมาก ไม่เคยได้คิดแผนธุรกิจไปไกลขนาดนั้น ดังนั้น เขาจึงคิดสะระตะอย่างรวดเร็วว่า คนๆ หนึงจะทำอะไรกับเงินหลายล้านดอลลาร์
“สหาย! เมื่อมีเงินมากมายขนาดนั้น นายก็เลิกทำงานนะสิ ใช่แล้ว! เลิกทำงานตลอดชีวิตเลย นายซื้อบ้านพักตากอากาศสักหลัง ในหมู่บ้านที่งามราวกับภาพวาดเช่นหมู่บ้านแห่งนี้แหละ แล้วซื้อเรือลำเล็กๆ สักลำเผื่อออกไปตกปลาในตอนเช้า กับมากินอาหารกับเมียได้ทุกวัน งีบอีกสักหน่อยโดยไม่มีอะไรต้องกังวล ตอนบ่ายก็ใช้เวลากับลูกๆ ของนาย หลังอาหารเย็นก็ออกไปสังสรรค์กับเพื่อนๆ ที่ร้านเหล้า ใช่แล้วด้วยเงินมากมายขนาดนั้น เพื่อนเอ๋ย นายก็เลิกทำงานแล้วก็ใช้ชีวิตให้สบายไปเลย”
ชายชาวประมงทำหน้างงเล็กน้อย พร้อมกับตอบไปว่า “แต่ เอ่ะ ท่านที่ปรึกษาครับ ผมก็กำลังทำทุกอย่างที่ว่านั้นอยู่แล้วนี่ครับ”
-------------------------------------------------------------------------
ครับ การที่เรารู้จักการตั้งเป้าหมายในชีวิต เช่น ซื้อบ้าน ซื้อคอนโด ซื้อรถ บลาๆ นั้น มันเป็นเรื่องที่ดีครับ แต่ต้องอย่าลืมว่า ถ้าบรรทัดสุดท้ายของเราคือ การคาดหวังว่าเราจะมีความสุขเมื่อเราได้สิ่งนั้นๆ มา มันอาจจะไม่เป็นอย่างที่เราคิด เพราะเมื่อเราได้มาเราอาจจะไม่ได้เสพสุขกับสิ่งที่ได้ แต่กลับมองหาสิ่งใหม่เพื่อให้ได้มาแล้วคิดว่าตัวเองจะมีความสุขเมื่อได้สิ่งนั้นมาอีก มันจึงต้องถามกลับไปว่าถ้าเราอยากมีความสุข ทำไมเราถึงเลื่อนมันออกไปเรื่อยๆ อย่างนั้น แท้จริงแล้วความสุขของเราอาจจะอยู่ใกล้แค่นี้ อย่างที่ ชายชาวประมง ทำอยู่ก็เป็นได้
สิ่งที่ต้องการเน้นนั้นคือ เป้าหมายในเรื่องความอยาก มันไม่ได้ผิด เพราะผมเองก็ยังตั้งไว้ในใจเลย แต่ยังไงถึงเรียกว่า “พอ” มันต้องอยู่ที่แต่ละคนมากกว่า มีคำกล่าวหนึ่งที่น่าจะให้ข้อคิดในเรื่องความสุขจากความอยากได้เป็นอย่างดี ซึ่งเป็นของนักลงทุนขั้นเทพของโลก คือ วอร์เรน บัฟเฟตต์ (ทุกคนคงจะคุ้นหูบ้างถึงแม้ไม่ได้ศึกษาเรื่องการลงทุน เพราะเขาเป็นถึงมหาเศรษฐีอันดับต้นๆ ของโลก)
“คุณไม่มีทางรวย ถ้าคุณไม่โลภซะบ้าง แต่คุณจะไม่มีวันมีความสุขถ้าคุณมีมันมากเกินไป ความโลภมากจะนำพาคุณไปสู่ความอิจฉา และความอิจฉาจะเปรียบเสมือนถนนลาดยางอย่างดี ที่จะนำพาคุณไปสู่ความไม่รู้จัก พอ”
สุขสันต์วันปีใหม่ 2555 ครับ...
Comments
Post a Comment