สวัสดีปีใหม่ 2556
ก่อนอื่น คงต้องขออวยพรให้เพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ ทุกท่าน
"ขอให้อันความสุขกาย ความสุขใจและความสมดั่งใจหวัง ก่อเกิดขึ้นกับทุกท่าน อีกทั้งขอให้มีสุขภาพร่างกายแข็งแรง กำลังใจเข้มแข็ง พร้อมสู้ศึกกับปีหน้าฟ้าใหม่กันต่อไปนะครับ"
และเนื่องในโอกาสปีใหม่ในครั้งนี้ผมมีเรื่องดีๆ มาฝากกันไว้ หลายๆ คนคงเคยอ่านกันมาแล้ว แต่ผมเห็นเป็นบทความที่ดี แม้จะอ่านอีกกี่ทีก็สามารถให้แง่คิด เตือนสติเราได้ เพื่อที่ใครกำลังหลง หรือ วน อยู่กับอะไรในชีวิต จะได้มีสติฟื้น เตือนตัวเองได้ว่า แท้จริงแล้วคำจำกัดความของสิ่งที่เรียกว่า "ความสุขในชีวิต" ของตัวเองคืออะไรกันแน่
ข้างล่างนี้คือคำบรรยายของ Dr. Richard Teo เศรษฐีเงินล้านและแพทย์ด้านความงามชื่อดังชาวสิงคโปร์อายุ 40 ปี ซึ่งพบว่าตัวเองป่วยเป็นมะเร็งปอดระยะสุดท้าย เขาได้มาเล่าประสบการณ์ชีวิตในกับชั้นเรียนของนักศึกษาทันตแพทย์
วันที่ 19 มกราคม 2012
ตอนผมยังเด็ก ผมเป็นตัวอย่างผลผลิตของสังคมในปัจจุบัน เป็นผลผลิตที่เรียกได้ว่าประสบความสำเร็จตามที่สังคมต้องการ ตั้งแต่เด็กมาแล้ว ผมมาจากครอบครัวที่ต่ำกว่ามาตรฐาน, ผมถูกพร่ำสอนจากสื่อต่างๆ จากผู้คนรอบๆ ตัวว่า ความสุขเป็นเรื่องของความสำเร็จ และความสำเร็จที่ว่าก็เป็นเรื่องของความร่ำรวย ด้วยแนวคิดนี้ ผมจึงต้องต่อสู้ แข่งขัน อยู่เสมอตั้งแต่เป็นเด็ก
ไม่เพียงแต่ต้องเข้าเรียนในโรงเรียนที่ดีที่สุด, ผมต้องประสบความสำเร็จในทุกสนามแข่งขัน ในทุกกลุ่มที่สังกัด ในถนนทุกสาย ผมต้องได้ถ้วยรางวัล ต้องได้รับชัยชนะทุกๆ อย่าง ผมเข้าเรียนในโรงเรียนแพทย์ จบมาเป็นแพทย์ พวกคุณบางคนอาจจะพอรู้ว่าในบรรดาสาขาต่างๆ นั้น จักษุวิทยา (Opthalmology) เป็นหนึ่งในสาขาที่แย่งกันเรียนมากที่สุด ดั้งนั้นผมจึงต้องเรียนจักษุวิทยาให้ได้ และผมก็ได้เรียน แถมยังได้ทุนงานวิจัยจากมหาวิทยาลัยแห่งชาติสิงคโปร์เพื่อพัฒนาเลเซอร์สำหรับรักษาตาอีกด้วย
ในช่วงที่ผมเรียนอยู่นั้น ผมได้สิทธิบัตร 2 ฉบับ ฉบับหนึ่งเกี่ยวกับเครื่องมือแพทย์ อีกฉบับหนึ่งเกี่ยวกับเลเซอร์ แล้วพวกคุณรู้มั้ย, บรรดาความสำเร็จทางวิชาการพวกนี้ไม่ได้นำความร่ำรวยมาให้ผมเลย ดังนั้นหลังจากหมดพันธะกับทางมหาวิทยาลัยแล้ว ผมบอกกับตัวเองว่า นี่มันนานเกินไปแล้ว การฝึกฝนทางจักษุวิทยามันใช้เวลานานเกินไป. ผมน่าจะทำเงินได้มากโขในภาคเอกชน. พวกคุณคงพอรู้ว่าไม่กี่ปีที่ผ่านมา เรื่องของเวชศาสตร์ความงามบูมมาก แถมยังทำเงินได้มหาศาล ดังนั้นผมจึงตัดสินใจ พอกันทีกับงานในมหาวิทยาลัย ถึงเวลาต้องไปแล้ว ผมจึงลาออกจากการ train กลางคันและหันเหไปตั้งคลินิกความงามของตัวเอง
พวกคุณรู้มั้ย น่าขำที่ผู้คนไม่ได้มองหาฮีโร่จากแพทย์ทั่วไป (GP) หรือแพทย์ครอบครัว (family physician) พวกเขามองหาฮีโร่จากแพทย์ที่มีชื่อเสียงและร่ำรวย พวกเขาจะไม่มีความสุขกับการเสียเงิน 20 เหรียญเพื่อพบแพทย์ทั่วไป แต่ไม่บ่นสักคำที่จะจ่ายเป็นหมื่น ๆ ดอลล่าร์สำหรับการดูดไขมันหรือเสริมเต้านมหรืออะไร
ทีนี้ผมทำกับเงินที่หามาได้มากมายก่ายกองนั่นยังไง? วันสุดสัปดาห์ผมใช้ชีวิตยังไง? ผมสังกัดกลุ่มคนรักรถ supercar ผมชอบสะสมรถครับ ผมซื้อรถหรูๆ ขับไปถึงมาเลเซียโน่น เพื่อไปแข่งรถในสนามแข่ง นั่นละครับชีวิตของผม เงินยังเหลืออีกเยอะ ทำอะไรอีก? ผมซื้อ Ferrari ครับ ตอนนั้น รุ่น 458 ยังนิยมมาก เปิดประทุนได้ด้วย นี่เพื่อนสมัยมัธยมของผมครับ เป็นนายธนาคาร คันของเขาสีแดง ผมก็เลยต้องเลือกสีเงิน
พอได้รถแล้วทำอะไรอีก? ถึงเวลาที่ต้องซื้อบ้านแล้ว ผมเที่ยวหาทำเลสร้างบ้าน และก็สร้างบ้าน ดูผมใช้ชีวิตสิครับ ผมอยู่ท่ามกลางสังคมของคนร่ำรวยและมีชื่อเสียง คนนี้เป็น Miss universe ผมไปดื่มไปเที่ยวกับคนพวกนี้ นี่ก็เป็นหนึ่งในผู้ก่อตั้ง Facebook มหาเศรษฐีพันล้านเชียวนะครับ ร้านอาหารก็ต้องระดับ Michelin เท่านั้น
ไม่ผิดหรอกครับที่จะประสบความสำเร็จ ไม่ผิดที่จะร่ำรวยมั่งคั่ง ไม่ผิดเลย ปัญหาประการเดียวก็คือ พวกเราส่วนใหญ่รวมทั้งตัวผมด้วยไม่สามารถควบคุมจัดการมันได้
ทำไมผมพูดอย่างนั้น ก็เพราะเมื่อผมเริ่มสะสมเงินทอง ยิ่งผมมีมากเท่าไร ผมก็ยิ่งอยากมีมากขึ้นเท่านั้น ยิ่งต้องการอะไรมาก เราก็ยิ่งหมกมุ่นอยู่กันมัน เหมือนกับที่ผมได้พูดไปเมื่อก่อนหน้านี้ ทั้งหมดที่ผมทำก็คือสะสม ๆ ๆ เพื่อที่จะให้ไปถึงจุดสูงสุด เหมือนกับที่สังคมทำกับเรา เหมือนกับที่สังคมอยากให้เราเป็น เมื่อผมหมกมุ่นอยู่กับมันแล้ว อะไรอื่นก็ไม่มีความหมายสำหรับผมอีกต่อไป คนไข้ที่เดินเข้ามาก็เพียงแค่ถังเงิน และผมก็จะรีดเงินออกจากคนไข้พวกนี้จนถึงหยดสุดท้าย
ตอนนั้นผมถึงจุดที่ได้ทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตแล้ว ผมถึงจุดสูงสุดในวิชาชีพของผม นี่คือรูปผมเมื่อปีก่อน กำลังเล่น Gym อยู่ หล่อล่ำเลย ตอนนั้นผมคิดไปว่าทุกสิ่งทุกอย่างอยู่ภายในการควบคุมของผมและผมถึงยอดเขาแล้ว
แต่...ผมผิดถนัดครับ ทุกอย่างไม่ได้อยู่ในการควบคุมของผม ปีที่แล้วเดือนมีนาคม ผมเริ่มรู้สึกเจ็บตรงกลางหลัง ตอนนั้นคิดไปว่าอาจจะออกกำลังกายมากเกินไป ผมจึงไปโรงพยาบาล พบเพื่อนผม ผมทำ MRI เพื่อดูว่าอาจจะมีหมอนรองกระดูกหลังเคลื่อนหรือเปล่า.
เย็นวันนั้น เพื่อนผมโทรมาบอกว่า “กระดูกสันหลังของนายดูเหมือนจะมีเนื้องอกอะไรบางอย่างนะ” ผมตอบไปว่า “ว่าไงนะ มันหมายความว่ายังไง?” อันที่จริงผมรู้ความหมายดี แต่ไม่ยอมรับความจริง “พูดจริงหรือเปล่า” ตอนที่คุยนั้น ผมยังวิ่งอยู่ใน Gym อยู่เลยคุณรู้หรือเปล่า วันถัดมาผมทำ scan ต่างๆ เพิ่มเติม รวมทั้ง PET scan ด้วย สุดท้ายก็สรุปว่าผมเป็นมะเร็งปอดระยะสุดท้าย ตอนนั้นผมคิดในใจว่า “มันมาจากไหนกันวะ” มะเร็งลามไปสมอง ไปกระดูกสันหลัง ไปตับและต่อมหมวกไตเรียบร้อยแล้ว พวกคุณลองคิดดู ผมคิดว่าผมควบคุมทุกอย่างในชีวิตได้ ผมถึงจุดสูงสุดในชีวิตแล้ว แต่ฉับพลันผมก็สูญเสียมันไปในทันที
น่าขำที่ว่าสิ่งต่างๆ ที่ผมมี ความสำเร็จเอย ถ้วยรางวัลเอย รถหรูๆ เอย คฤหาสน์เอย ทั้งหมดนั้นผมคิดไปว่ามันจะนำความสุขมาให้ผม แต่ในยามที่ผมตกอยู่ภาวะซึมเศร้า หดหู่ใจ สิ่งต่างๆ ที่ผมมี มันกลับไม่ทำให้ผมมีความสุขได้เลย และความคิดที่ว่าผมนอนกอดรถ Ferrari แล้วจะทำให้ผมหลับตาลงได้ มันไม่มีทางเป็นไปได้ มันไม่ได้ทำให้ผมรู้สึกผ่อนคลายได้เลยแม้แต่นิดเดียวตลอด 10 เดือนที่ผ่านมา มันไม่ใช่ความสุขที่แท้จริงเลย สิ่งที่นำความสุขมาให้ผมในช่วง 10 เดือนสุดท้ายกลับเป็นการได้พบปะกับผู้คน ได้พบกับคนที่ผมรัก เพื่อนๆ ผู้คนที่เป็นห่วงเป็นใยผมอย่างแท้จริง สิ่งเหล่านี้ต่างหากที่นำความสุขมาให้ผม ไม่ใช่สิ่งของต่างๆ ที่ผมมี ไม่ใช่สมบัติที่ผมครอบครอง สิ่งต่างๆ ที่ผมเคยเหมาเอาว่ามันจะนำความสุขมาให้ผม แต่เปล่าเลย ถ้ามันทำได้จริง เวลาที่ผมคิดถึงมัน ผมควรจะมีความสุข แต่มันกลับทำให้ผมแย่ลงไปอีก
นานมากแล้วที่เราหลงคิดไปว่าเราจะต้องเป็นฝ่ายรับ เราหลงลืมเสียสนิทว่าเราแทบจะไม่ได้ให้ใครเลยเว้นแต่ตัวเราเอง สิ่งนี้มันเกิดขึ้นกับผมมาแล้ว ไม่ว่าจะในวงการแพทย์, วงการทันตแพทย์ ผมบอกได้เลย ขณะนี้ในภาคเอกชน บางครั้งเราถึงกับให้คำแนะนำกับผู้ป่วยเพื่อให้รับการรักษาหรือการผ่าตัดที่ไม่มีข้อบ่งชี้ มันเป็นพื้นที่สีเทา และแม้ว่าบางเรื่องมันจะไม่จำเป็นเลย เราก็ยังแนะนำคนไข้ให้ทำ และถึงตอนนี้ ผมก็รู้ว่าใครบ้างที่หวังดีกับผมอย่างแท้จริง และใครบ้างที่หลอกเอาเงินผมโดยการเสนอ “ความหวัง” ให้ผมอยู่ เราสูญเสียเข็มทิศทางจริยธรรม (moral compass) ไปเรื่อยๆ ตลอดเส้นทางสายนี้ เพียงเพราะว่าเราต้องการ make money
ผมอยากจะจบการบรรยายด้วย ประโยคนี้ มันมาจาก หนังสือเรื่อง Tuesdays with Morrie พวกคุณบางคนคงเคยอ่านแล้ว
Everyone knows that they are going to die; every one of us knows that.
The truth is, none of us believe it because if we did, we will do things differently.
อย่าให้สังคมบอกคุณว่าคุณจะใช้ชีวิตอย่างไร อย่างให้สื่อต่างๆ บอกคุณว่าคุณควรจะทำอะไร สิ่งเหล่านั้นเคยเกิดขึ้นกับผมมาแล้ว ผมปล่อยให้ชีวิตผมจมไปกับความคิดที่ว่าสิ่งเหล่านี้จะนำความสุขมาให้ ผมหวังว่าคุณจะใคร่ครวญกับเรื่องนี้และตัดสินใจเลือกว่าจะใช้ชีวิตของคุณเองอย่างไร ไม่ใช่เพราะคนอื่นบอกให้คุณทำ คุณต้องตัดสินใจว่าคุณจะให้เฉพาะแต่ตัวคุณเอง หรือจะสร้างความแตกต่างขึ้นในชีวิตของผู้อื่น เพราะความสุขที่แท้จริงไม่ได้มาจากการให้อะไรกับตัวเอง ผมเคยคิดว่ามันเป็นเช่นนั้น แต่มันกลับไม่เป็นอย่างนั้นเลย....
ผมขอขอบคุณทุกท่าน ถ้ามีคำถามอะไรที่จะถามผม ยินดีครับ ขอบคุณ
(Dr. Richard Teo ได้เสียชีวิตลงในวันที่ 18 ตุลาคม 2012 ขอให้ดวงวิญญาณของเขาจงไปสู่สุขคติ)
--------------------------------------------------------------------------
Comments
Post a Comment