การที่จะเรียกว่าเป็นองค์กรอัจฉริยะได้นั้น องค์กรจะต้องมี Effective Executive ซึ่งคุณโชคให้ความเห็นว่า คนที่เป็นผู้นำนั้น อย่างแรกเลยที่สำคัญ คือเรื่องนโยบาย (Policy) พอนโยบายเราได้แล้ว สิ่งที่เราต้องหาต่อไปคือ วิธีการปฏิบัติเป็นขั้นเป็นตอน (Implementaion Procedure)แต่สิ่งนี้แหล่ะที่ผู้นำจะไม่ค่อยนึกถึง เพราะจะคิดแค่ว่าให้นโยบายไว้แล้ว ตัวเองก็ไปทำอย่างอื่นต่อ ไปประชุมโน่น ประชุมนิ่ ไม่มีการวางการปฏิบัติอย่างเป็นขั้นเป็นตอน
คุณโชคจึงเน้นว่าหลังจากมีนโยบายแล้ว สิ่งสำคัญเราต้องดูว่า พนักงานบริษัทของเรา เข้าใจ ตีโจทย์นโยบายดังกล่าวเหมือนกันหรือไม่ โดยเราจะต้องไปมีส่วนร่วมนการกำหนดแนวทางในการเริ่มต้นการปฏิบัตินโยบายดังกล่าว เพราะฉะนั้น คุณโชคจะให้ความสำคัญมากกับการปฏิบัติหลังจากออกนโยบายมาแล้ว
พอหลังจากที่นโยบาย และวิธีการปฏิบัติออกมาแล้วนั้นก็จะตามมาด้วย ความอำนวยความสะดวก (Facilitate) คุณโชคมองว่าผู้บริหารจะต้องเป็นคนอำนวยความสะดวก ให้กับการปฏิบัติตามนโยบายต่างๆ บรรลุผล ต่อจากนั้นก็เป็นเรื่อง การปรับสมดุลย์ (Regulate) เป็นการปรับสมดุลย์ในองค์กร ให้พนักงานไม่เกิดความลักลั่นกัน เหมือนเป็นตำรวจในองค์กร ที่พยายามทำให้ทุกอย่างเกิดความเท่าเทียมกัน ต่อจากนั้น ก็เป็นเรื่องของการติดตาม (Follow up) ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญเช่นกันที่บริหารมักจะลืม เพราะบางทีสั่งแล้ว ก็สั่งไปเรื่อย มีแต่ปริมาณงานที่สั่ง ไม่มีคุณภาพงานที่สำเร็จ ต่อจากนั้นก็เป็นเรื่องของ การแก้ไข (Solve)
ต้องลงไปช่วยคนปฏิบัติแก้ไขปัญหาอย่าง อาจจะไม่ต้องลงไปแก้ทุกเรื่องแต่ต้องอำนวยความสะดวกในเรื่องของหลักการ เพื่อก่อให้เกิดการแก้ไขด้วยสุดท้ายคือ การตัดสินใจ (Execute)
สรุปได้ว่า การที่จะเป็น Effective Executive ประกอบด้วย
1. กำหนดนโยบาย (Policy)
2. วางวิธีการปฏิบัติ (Implementaion Procedure)
3. ความอำนวยความสะดวก (Facilitate)
4. การปรับสมดุลย์ (Regulate)
5. การติดตาม (Follow up)
6. การแก้ไข (Solve)
7. การตัดสินใจ (Execute)
ส่วนในประเด็น การที่ผู้บริหารจะมีประสิทธิผลได้นั้นมันต้อง Born to be หรือ เรียนรู้กันได้ ซึ่งคุณโชคคิดว่า มันน่าจะต้อง Born to be เพราะผู้นำมันจะต้องมีสัญชาติญาณบางอย่างที่ติดตัวมา อย่างแรกคือ ความกล้า กล้าที่จะโดดเด่น แตกต่าง เผชิญวิกฤตหรือลงมือทำ ซึ่งเป็นคุณสมบัติสำคัญของคนที่เป็นผู้นำ ต่อจากนั้นก็จะเป็นความเป็นคนมีวินัย ทำทุกอย่างเป็นระบบระเบียบ วัดผลได้ และทำอย่างต่อเนื่อง ซึ่งถือเป็นนิสัยที่สำคัญ แล้วค่อยเติมในทักษะต่างๆ
นอกจากนี้ คนเป็นผู้นำ จะต้องรู้เลือกคนที่มีความต่าง และนำมารวมกัน ซึ่งเป็นคุณสมบัติอย่างหนึงของผู้นำ ที่จะต้องรู้จักเลือกคนให้ตรงกับงาน เพราะถ้าเรามีผู้นำแบบนี้ ที่สามารถใช้คนได้ทุกประเภทให้เหมาะสมกับทักษะของเขา ทำให้เขาเกิดความรู้สึกด้วยว่าเขามีคุณค่ากับองค์กร นิ่แหล่ะ เป็นจุดเริ่มต้นขององค์กรอัจฉริยะ
และจากบทความของ Peter F Drucker ที่กล่าวถึง Effective Executive ซึ่งจะต้องมีอุปนิสัย 5 ประการ ดังนี้
1. รู้ว่าตัวเองใช้เวลาทำอะไรบ้างในแต่ละวัน
2. ต้องโฟกัสในผลลัพธ์ของงานมาก่อน ไม่ใช่ทำๆๆๆ อย่างเดียว
3. ต้องสร้างตัวเองจากจุดแข็ง ขยายจุดแข็ง แล้วค่อยมาลบจุดอ่อน
4. ต้องเน้นในขอบเขตงานที่มีความสำคัญ ที่ตัวเองสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
5. ต้องตัดสินใจอย่างมีประสิทธิผล
นอกจากนั้นยังมี วิลเลี่ยม โคเฮน ที่บอกไว้ว่า ผู้บริหารที่มีประสิทธิผลต้องเก่งใน 11 areas นี้ คือ
1. ต้องเป็นคนแก้ปัญหาในเชิงบริหาร และกล้าตัดสินใจ
2. สื่อสารเก่ง
3. ต้องมีความสามารถในการจูงใจคน
4. ต้องมีความเป็นผู้นำ
5. Marketing your self to your boss
6. เก่งเรื่องการบริหารจัดการเวลา และต้องกำหนดเป้าหมาย และสามารถบรรลุได้
7. ต้องมีนวัตกรรมและความคิดสร้างสรรค์
8. ต้องเก่งในเรื่องการบริหารจัดการความเครียด และเก่งในการเรื่องการจัดการความเครียดให้กับลูกน้องด้วย
9. วางแผนเก่ง
10. ทำงานและมีประสิทธิผล
11. ต้องหาผู้บริหารเก่งๆ เข้ามาอยู่เรื่อยๆ
หมายเหตุ : ขอแจ้งผู้ติดตามอ่านบทความของคุณโชค บูลกุล นะครับ เรื่องนี้จะเป็นบทความสุดท้ายของโชค บูลกุล ที่ผมได้มานำเสนอ เนื่องจากคุณโชค ได้พักการเป็นวิทยากรประจำรายการ Business Connection ที่ออกอากาศประจำในช่วงวันพุธไว้แค่นี้ก่อนครับ ไว้ถ้าคุณโชคกลับมาอีกเมื่อไหร่ ผมจะได้มานำเสนอต่อไปครับ ขอบคุณมากครับ
คลิ๊ก อ่านบทความของคุณโชค บูลกุลทั้งหมด
คุณโชคจึงเน้นว่าหลังจากมีนโยบายแล้ว สิ่งสำคัญเราต้องดูว่า พนักงานบริษัทของเรา เข้าใจ ตีโจทย์นโยบายดังกล่าวเหมือนกันหรือไม่ โดยเราจะต้องไปมีส่วนร่วมนการกำหนดแนวทางในการเริ่มต้นการปฏิบัตินโยบายดังกล่าว เพราะฉะนั้น คุณโชคจะให้ความสำคัญมากกับการปฏิบัติหลังจากออกนโยบายมาแล้ว
พอหลังจากที่นโยบาย และวิธีการปฏิบัติออกมาแล้วนั้นก็จะตามมาด้วย ความอำนวยความสะดวก (Facilitate) คุณโชคมองว่าผู้บริหารจะต้องเป็นคนอำนวยความสะดวก ให้กับการปฏิบัติตามนโยบายต่างๆ บรรลุผล ต่อจากนั้นก็เป็นเรื่อง การปรับสมดุลย์ (Regulate) เป็นการปรับสมดุลย์ในองค์กร ให้พนักงานไม่เกิดความลักลั่นกัน เหมือนเป็นตำรวจในองค์กร ที่พยายามทำให้ทุกอย่างเกิดความเท่าเทียมกัน ต่อจากนั้น ก็เป็นเรื่องของการติดตาม (Follow up) ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญเช่นกันที่บริหารมักจะลืม เพราะบางทีสั่งแล้ว ก็สั่งไปเรื่อย มีแต่ปริมาณงานที่สั่ง ไม่มีคุณภาพงานที่สำเร็จ ต่อจากนั้นก็เป็นเรื่องของ การแก้ไข (Solve)
ต้องลงไปช่วยคนปฏิบัติแก้ไขปัญหาอย่าง อาจจะไม่ต้องลงไปแก้ทุกเรื่องแต่ต้องอำนวยความสะดวกในเรื่องของหลักการ เพื่อก่อให้เกิดการแก้ไขด้วยสุดท้ายคือ การตัดสินใจ (Execute)
สรุปได้ว่า การที่จะเป็น Effective Executive ประกอบด้วย
1. กำหนดนโยบาย (Policy)
2. วางวิธีการปฏิบัติ (Implementaion Procedure)
3. ความอำนวยความสะดวก (Facilitate)
4. การปรับสมดุลย์ (Regulate)
5. การติดตาม (Follow up)
6. การแก้ไข (Solve)
7. การตัดสินใจ (Execute)
ส่วนในประเด็น การที่ผู้บริหารจะมีประสิทธิผลได้นั้นมันต้อง Born to be หรือ เรียนรู้กันได้ ซึ่งคุณโชคคิดว่า มันน่าจะต้อง Born to be เพราะผู้นำมันจะต้องมีสัญชาติญาณบางอย่างที่ติดตัวมา อย่างแรกคือ ความกล้า กล้าที่จะโดดเด่น แตกต่าง เผชิญวิกฤตหรือลงมือทำ ซึ่งเป็นคุณสมบัติสำคัญของคนที่เป็นผู้นำ ต่อจากนั้นก็จะเป็นความเป็นคนมีวินัย ทำทุกอย่างเป็นระบบระเบียบ วัดผลได้ และทำอย่างต่อเนื่อง ซึ่งถือเป็นนิสัยที่สำคัญ แล้วค่อยเติมในทักษะต่างๆ
นอกจากนี้ คนเป็นผู้นำ จะต้องรู้เลือกคนที่มีความต่าง และนำมารวมกัน ซึ่งเป็นคุณสมบัติอย่างหนึงของผู้นำ ที่จะต้องรู้จักเลือกคนให้ตรงกับงาน เพราะถ้าเรามีผู้นำแบบนี้ ที่สามารถใช้คนได้ทุกประเภทให้เหมาะสมกับทักษะของเขา ทำให้เขาเกิดความรู้สึกด้วยว่าเขามีคุณค่ากับองค์กร นิ่แหล่ะ เป็นจุดเริ่มต้นขององค์กรอัจฉริยะ
และจากบทความของ Peter F Drucker ที่กล่าวถึง Effective Executive ซึ่งจะต้องมีอุปนิสัย 5 ประการ ดังนี้
1. รู้ว่าตัวเองใช้เวลาทำอะไรบ้างในแต่ละวัน
2. ต้องโฟกัสในผลลัพธ์ของงานมาก่อน ไม่ใช่ทำๆๆๆ อย่างเดียว
3. ต้องสร้างตัวเองจากจุดแข็ง ขยายจุดแข็ง แล้วค่อยมาลบจุดอ่อน
4. ต้องเน้นในขอบเขตงานที่มีความสำคัญ ที่ตัวเองสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
5. ต้องตัดสินใจอย่างมีประสิทธิผล
นอกจากนั้นยังมี วิลเลี่ยม โคเฮน ที่บอกไว้ว่า ผู้บริหารที่มีประสิทธิผลต้องเก่งใน 11 areas นี้ คือ
1. ต้องเป็นคนแก้ปัญหาในเชิงบริหาร และกล้าตัดสินใจ
2. สื่อสารเก่ง
3. ต้องมีความสามารถในการจูงใจคน
4. ต้องมีความเป็นผู้นำ
5. Marketing your self to your boss
6. เก่งเรื่องการบริหารจัดการเวลา และต้องกำหนดเป้าหมาย และสามารถบรรลุได้
7. ต้องมีนวัตกรรมและความคิดสร้างสรรค์
8. ต้องเก่งในเรื่องการบริหารจัดการความเครียด และเก่งในการเรื่องการจัดการความเครียดให้กับลูกน้องด้วย
9. วางแผนเก่ง
10. ทำงานและมีประสิทธิผล
11. ต้องหาผู้บริหารเก่งๆ เข้ามาอยู่เรื่อยๆ
หมายเหตุ : ขอแจ้งผู้ติดตามอ่านบทความของคุณโชค บูลกุล นะครับ เรื่องนี้จะเป็นบทความสุดท้ายของโชค บูลกุล ที่ผมได้มานำเสนอ เนื่องจากคุณโชค ได้พักการเป็นวิทยากรประจำรายการ Business Connection ที่ออกอากาศประจำในช่วงวันพุธไว้แค่นี้ก่อนครับ ไว้ถ้าคุณโชคกลับมาอีกเมื่อไหร่ ผมจะได้มานำเสนอต่อไปครับ ขอบคุณมากครับ
คลิ๊ก อ่านบทความของคุณโชค บูลกุลทั้งหมด
Comments
Post a Comment