ธุรกิจน่าสน ทำกำไร 130 เท่า (+13,000%)



เห็นชื่อเรื่องแบบนี้ ไม่ได้มาโฆษณาชวนเชื่อ หรือมาชวนทำแชร์ลูกโซ่อะไรนะครับ แต่เห็นช่วงนี้มีประเด็น ดราม่า สำหรับแวดวงการเงินการลงทุนในบ้านเรา ที่มาแรงพอๆ กระแสแรงเงา และ คุณลุงใจดี เลยก็ว่าได้  ประเด็นดราม่านั้นก็เกี่ยวกับ การขายหลักสูตรอบรมการลงทุน ที่มีคำโฆษณาที่น่าตื่นเต้นว่า  สามารถทำกำไรได้ถึง 590% ใน 5 นาที, 855% ใน 8 นาที และอีก บลาๆๆ ซึ่งสำหรับนักลงทุนอย่างเราๆ แล้วเห็นอย่างนี้ ก็ตาลุกวาวๆ (ความโลภเข้าครอบงำ ณ บันดล) แต่มาดูค่าเรียน โอ่...บร๊ะเจ้า แพงบรรลัย แต่ผลสุดท้ายเป็นอย่างไร ไปลองหาอ่านกันได้ในพันธิปครับ

ที่เกริ่นเรื่องนี้มา ก็่เพราะคนเรายังไงก็อยากให้เงินที่ตัวเองหามาได้ (อย่างยากลำบาก) หรือที่ตัวเองเก็บไว้ ก่อเกิดผลตอบแทนมากขึ้น หรือที่เค้าเรียกกันจนเกร่อว่า ให้ใช้เิงินทำงานแทน ฟังดูแล้วเทห์ โคตร (ถึงว่าคอร์สอบรมมันถึงขายได้)  ยิ่งได้ผลตอบแทนมากๆ ยิ่งอยากได้ แต่อาจจะลืมไปกันว่า ก่อนที่เราจะใช้เงินทำงานแทนนั้น เราต้องรู้จักใช้สมองก่อนนะ (ไม่เห็นมีใครพูดเล้ย) หลายคนอาจฟังดูแล้ว เ่อ่ะ แล้วใช้สมองก่อนมันต้องทำอย่างไรละ งั้นไปอ่านเรื่องที่ผมนำฝากกันดูในวันนี้



ธุรกิจอะไรทำกำไรได้ 130 เท่า  (+13,000%)


ถ้าเราต้องตั้งต้น ธุรกิจด้วยเงินแค่ 5 เหรียญสหรัฐ เราจะทำธุรกิจอะไรดีคะ ? 

มีด้วยหรือที่เงินแค่นี้จะเอามาใช้ทำธุรกิจอะไรได้ แต่อย่างน้อยได้เริ่มต้นด้วยเงินสักนิดหนึ่ง ก็ยังดีกว่าไม่มีแต้มต่อเลยใช่ไหม 

ถ้าเราต้องเริ่มต้นชีวิตด้วยเงินเต็มบัญชีธนาคารกับสมองเปล่าๆ หนึ่งก้อน เทียบกับบัญชีที่ไร้เงินแต่สมองเราเต็มไปด้วยไอเดียดีๆ เราจะเลือกอะไรคะ เลือกยากเนอะคะ บางคนอาจบอกว่าขอทั้งคู่ไม่ได้หรือ 

สมมติว่าขอไม่ได้ล่ะ ให้เลือกได้อย่างเดียว เลือกอะไรดี 

มาดูโจทย์ธุรกิจจากมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ดกันดีกว่า 

มี เงินให้ห้าเหรียญ ให้เวลาประชุมกันไม่เกินหนึ่งอาทิตย์ ให้เวลาสองชั่วโมงสำหรับปฏิบัติการตามแผน แต่ต้องทำกำไรให้ได้มากที่สุด เป็นเราจะทำอะไร? ถ้าเป็นคุณผู้อ่านเจอโจทย์แบบนี้จะทำอย่างไรดี 

ศาสตราจารย์ ทีนา ซีลิก สอนวิชานวัตกรรมสร้างสรรค์ที่มหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด ให้โจทย์นี้กับนักศึกษาที่ถูกแบ่งเป็น 14 ทีม ทุกทีมต้องแยกย้ายกันไปหนึ่งสัปดาห์แล้วกลับมารายงานหน้าชั้นเรียนเป็นเวลา 3 นาที

มาดูสิ่งที่นักศึกษามหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ดแต่ละทีมเลือกทำกัน จากเงินห้าเหรียญ 

กลุ่มหนึ่งเอาเงินจำนวนน้อยนิดไปซื้อมะนาว น้ำตาลและมาทำน้ำมะนาวขายหน้ามหาวิทยาลัย 

กลุ่มต่อมารับจ้างเติมลมยางรถจักรยานหน้ามหาวิทยาลัยคิดเงินคันละหนึ่ง เหรียญจนกระทั่งพวกเขาค้นพบว่า ถ้าขอเป็นเงินบริจาคจะได้เยอะกว่าเลยเปลี่ยนเป็นเงินบริจาคแทน

ส่วนกลุ่มที่สามได้เงินมากกว่า และคิดสร้างสรรค์ได้ไม่เลว พวกเขาตัดสินใจเลือกทำงานในคืนวันศุกร์และให้เพื่อนผู้ชายขับรถพาสาวๆ ไปทิ้งไว้หน้าร้านอาหารที่คนแน่นแล้วให้ไปจองคิวตามร้านอร่อยที่ลูกค้าต้อง ยืนรอกันเกือบชั่วโมง พอได้คิวแล้วก็เอาคิวไปขายให้ลูกค้าคนอื่นที่เพิ่งมา คิดเงินคิวละ 20 เหรียญ กลุ่มนี้หาเงินได้หลายร้อยเหรียญในเวลาสองชั่วโมง เพราะใครก็ไม่อยากรออาหารอีกหนึ่งชั่วโมง

ส่วนกลุ่มที่ชนะเลิศหาเงิน ได้ถึง 650 เหรียญ เป็นกำไรถึง 130 เท่าตัว และที่น่าทึ่งคือ พวกเขาไม่ได้ใช้เงินห้าเหรียญนั้นเลย เขาทำได้อย่างไร???

หลังจากประชุมกันนาน ทุกคนในกลุ่มโหวตว่า พวกเขาจะ “ขายเวลา” 

นักศึกษากลุ่มนี้เฉลยว่า พวกเขานั่งประชุมกันนานว่า จะทำอะไรกันดี บางคนบอกไปซื้อลอตเตอรี่ดีกว่า ไปลาสเวกัส ฯลฯ แต่ ในที่สุดทุกคนสรุปว่า ต้นทุนที่ดีที่สุดที่พวกเขามีไม่ใช่เงิน 5 เหรียญ แต่เป็น “เวลา 3 นาที” สำหรับการนำเสนอแผนธุรกิจหน้าห้องเรียนที่เต็มไปด้วยนักศึกษามหาวิทยาลัย สแตนฟอร์จำนวนเป็นร้อยๆ คนที่นั่งฟังโดยไม่ลุกไปไหน

นักศึกษาจึงหาบริษัทที่ต้องการขายสินค้าแล้วขายเวลา 3 นาทีที่ตัวเองต้องพรีเซ็นต์ ให้กับบริษัทที่ต้องการเวลา 3 นาทีโฆษณาผลิตภัณฑ์ของตัวเอง 

พอถึงวันจริง นักศึกษากลุ่มนี้ไม่ต้องทำอะไรนอกจากฟังเพื่อนพรีเซ็นต์และพอถึงเวลาของตัว เอง ก็ให้บริษัทที่ตกลงกันไว้มาพรีเซ็นต์สินค้า เสร็จแล้วจ่ายเงิน 650 เหรียญสำหรับเวลา 3 นาทีให้กับทีมนักศึกษาที่ขายเวลาให้ 

บริษัทยิ้ม นักศึกษายิ้ม และอาจารย์ยิ้มมากกว่า ที่ลูกศิษย์คิดได้นอกกรอบเหลือเชื่อ 

บทความนี้ตัดมาจากหนังสือชื่อ What I Wish I Knew When I Was 20 by Tina Seelig จาก มหาวิทยาลัย Stanford (ตอนนี้เค้ามีแปลเป็นไทย ใครอยากลองอ่านรีวิว ตามไปอ่านกันได้ครับ ได้ที่ iYom BookViews : น่าจะรู้อย่างนี้ ตั้งแต่ตอนอายุ 20 )



ประเด็นของเรื่องนี้ การเหมือนกับที่เราต้องการผลตอบแทนการจากการลงทุนมากๆ นั่นแหล่ะครับ ถ้าเรารู้จักใช้สมองอันสร้างสรรค์ที่มีอยู่ในตัวเราก่อนเป็นอันดับแรก เราก็สามารถสร้างผลตอบแทน อาจจะไม่ต้องมากเท่ากับเรื่องที่ยกมา แต่อย่างน้อย เราจะได้เกิดการเรียนรู้ เกิดประสบการณ์ ทำให้เราสามารถต่อยอดการลงทุนของเราได้ในอนาคต แต่ถ้าเราไม่รู้จักใช้สมอง มัวแต่จะไปมองหาทางลัด ทางเร็ว แม้เราจะมีเงินตั้งต้นมากมาย ซึ่งผลสุดท้ายอาจจะต้องดับอนาจ ไม่แตกต่างจากอดีตที่ผ่านมาที่มักจะเกิดเหตุการณ์อย่างที่กำลังเป็นประเด็นดราม่ากันอยู่ในขณะนี้


No Shortcuts To Success...

Comments