การลงทุนในธุรกิจปาล์มน้ำมันในไทย

ความสำคัญของน้ำมันปาล์ม
เป็นน้ำมันพืชที่ใช้มากในโลก โดยมีน้ำมันถั่วเหลืองเป็นอันดับหนึ่ง ต่อมาก็คือ น้ำมันปาล์ม ซึ่งมีการใช้มากในอินโดนีเซีย มาเลเซีย และไทย และสามประเทศนี้เองที่ส่งออกมาก ส่วนถั่วเหลือง โดยส่วนมากใช้ในอเมริกา อาร์เจนตินา เป็นต้น ถัดมาจะเป็นน้ำมันอีกประเภทหนึ่งที่เราเรียกว่า เรปซีด ซึ่งมีในจีนและอินเดีย อันต่อมาก็คือ น้ำมันดอกทานตะวัน จะใช้แถว EU

น้ำมันปาล์มมีการผลิตมากที่สุดใน มาเลเซีย และอินโดนีเซีย ประมาณ 46% ส่วนของไทยแค่ 3% เท่านั้น ส่วนในประเทศไทยจังหวัดที่ผลิตมากที่สุด คือ กระบี่ สุราษ ชุมพร ถึง 70% ของการผลิตในประเทศ ซึ่งในปัจจุบันได้มีการกระจายพื้นที่การปลูกไปยังภาคอื่นๆ มากขึ้น

ความสำคัญของน้ำมันปาล์มในไทย
พื้นที่เพาะปลูกมีประมาณเกือบ 4 ล้านไร่ ให้ผลผลิตแล้ว 3 ล้านกว่าไร่ ซึ่งผลผลิตของปาล์ม เราจะนำมาบีบน้ำมัน เพื่อนำมาบริโภค และไปทำไบโอดีเซล ซึ่งปีหนึ่งเราจะมีการนำไปผลิตไบโอดีเซล ประมาณ 20% ของผลผลิตทั้งหมด นำมาบริโภคอีก 60% และส่งออกอีก 10% กว่าๆ (ส่งออกในรูปน้ำมันปาล์มดิบ ไปยังมาเลเซีย เนื่องจากมาเลเซียมีความเชี่ยวชาญทางด้านการแปรรูปมากกว่าเรา)
ส่วนการบริโภคน้ำมันปาล์มของไทยเรา อยู่ในรูปของน้ำมันพืช 60% นอกนั้น ก็เป็นพวก นม บะหมี่ ขนมขบเขี้ยว เนยเทียม สบู่ เป็นต้น

แต่ถึงกระนั้น บ้านเรายังมีการใช้ประโยชน์จากน้ำมันปาล์มน้อย เมื่อเทียบกับมาเลเซีย ที่มีการวิจัยว่าสามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้ 300 กว่ารายการ จึงมีราคาปาล์มที่สูงกว่าเรา เพราะสามารนำไปใช้ประโยชน์ไได้มากกว่า ในปัจจุบัน ราคาปาล์มของเราอยู่ประมาณ 3.50 บาท/กก.

ซึ่งการปลูกในภาคเหนือนั้น มันสามารถปลูกขึ้นได้ แต่ที่เราห่วงก็คือ ผลผลิตของปาล์มนั้น จะไปขายให้ใคร เพราะต้องส่งของโรงงานให้เร็วที่สุด ภายใน 24 ชม. ก็จะดีมาก ดังนั้น เราจึงมีการกำหนดไว้ว่า การจะขยายพื้นที่เพาะปลูกไปยังภาคต่างๆ นั้น อย่างน้อย จุดๆ หนึ่งจะต้องมีพื้นที่เพาะปลูกไม่ต่ำกว่า 3000 ไร่ เพราะสามารถที่ตั้งเครื่องสกัดน้ำมันปาล์มขนาดเล็กได้ (กำลังการผลิตประมาณ 2.5 ตัน/ ชม.) เพื่อสกัดน้ำมันปาล์มก่อนที่ผลปาล์มสดจะเสีย และสามารถที่จะรวบผลผลิตการสกัดจากหลายๆ จุด เพื่อ
นำไปผลิตไบโอดีเซลได้ (โดยที่ พื้นที่ 3000 ไร่ ดังกล่าว สามารถให้ผลผลิตปาล์ม ที่จะนำไปทำไบโอดีเซลได้ถึง 6000 ลิตร)
เพราะฉะนั้น โอกาสที่จะลงทุนในธุรกิจน้ำมันปาล์ม จะต้องไปพร้อมกับโรงงานอุตสาหกรรมสกัดควบคู่ไปด้วย เพราะถ้าเรามีแต่พื้นที่ปลูก แต่ไม่มีโรงงาน การจะต้องส่งไปขายไกลๆ ก็จะไม่คุ้ม

และเมื่อคำนวณผลตอบแทนในการปลูกปาล์มเมื่อเที่ยบกับพืชอื่นๆ จะเห็นได้ว่า ได้มากกว่าในระดับเดียวกัน ซึ่งปัจจุบัน มีพื้นที่การปลูกแบบกระจัดกระจายเกินไป และแต่ละจุดจะไม่ถึง 3000 ไร่ด้วย แต่ตอนนี้ทางเชียงรายมีการตั้งโรงงานสกัดน้ำมันปาล์มแล้วหนึ่งจุด (แต่ยังไม่เริ่มผลิตเพราะวัตถุดิบไม่เพียงพอ) ส่วนโรงงานที่ทำ bio diesel ที่มีอยู่ตอนนี้ส่วนใหญ่จะอยู่ในภาคกลาง ระยองที่ผลิตมาก ทางเหนือความชื้นน้อย อาจจะต้องลงทุนเพิ่มเพื่อให้น้ำเพียงพอ

สรุป คือ ในธุรกิจปาล์มน้ำมัน คนลงทุน จะต้องระมัดระวังในเรื่องของตลาดเป็นสิ่งสำคัญที่สุด เนื่องจาก ปาล์มสดภายในสองวันต้องเข้าโรงงานแล้ว เราจึงต้องมาหาว่าในพื้นที่จะมีผู้ซื้อผลผลิตของเรามากน้อยแค่ไหน ซึ่งต่างจากยางพารา ที่สามารถเก็บได้นาน

เนื้อหาที่เกี่ยวเนื่อง :
Logistic Cost
ประสิทธิภาพด้านการขนส่ง (Logistic Efficiency)

Comments