เวลาเราจะมองทางด้านการเงินนั้น เริ่มแรกเลยจะมองไปที่ ROI (Return on Investment) ผลตอบแทนการลงทุน ซึ่งจะมีอยู่ 2 ฝั่ง ฝั่ง return และฝั่ง Investment ซึ่งไอ้ตัว Return เราก็มองได้ง่ายๆว่า ลงทุนอะไรก็มองไปที่กำไรเป็นตัวตั้ง ส่วนเงินลงทุน คือ Capital เพราะฉะนั้น จับกำไรหารด้วย Capital ก็คือ ROI นั่นเอง
แล้วในการทำ Logistic จะทำอย่างไร ให้ผลตอบแทนจากการลงทุนดีขึ้น ซึ่งเราจะแยกพิจารณออกตาม ส่วนประกอบของ ROI จากที่กล่าวไว้ในข้างต้น คือ
พิจารณาจากฝั่งกำไร
เมื่อเราจะพิจารณากำไร จะชัดเจนมากว่ามาจากการขายลบด้วยต้นทุน เพราะฉะนั้น โจทย์ของเราในส่วนนี้ คือ ทำอย่างไรให้ยอดขายเพิ่มและต้นทุนการขายลดต่ำลง นิ่คือโจทย์ที่ Logistic จะไปช่วย แล้วตัวยอดขายจะทำอย่างไรให้เพิ่มขึ้นละ
เราจะใช้ Logistic เข้าไปช่วยยอดขายได้โดย 4 ส่วน คือ
1. On time in full ตรงเวลาและเต็มจำนวน คือ ทำอย่างไรที่เราจะส่งสินค้าได้ on time และส่งของส่งครบตามจำนวนที่ลูกค้าสั่ง
2. ระดับการบริการ (Service Level) คือ เราต้องเพิ่มระดับการบริการอยู่ตลอดเวลาให้ลูกค้ากลับมาใช้เรา และเราสามารถที่จะเพิ่มระดับการบริการเพื่อที่จะทำให้ราคาขายของเรานั้นสูงขึ้นได้ ด้วยระดับการบริการ ไม่ได้ไปเน้นที่การลดต้นทุนอย่างเดียว
3. การสร้างความสัมพันธ์ของลูกค้า (CRM) ทำอย่างไรถึงจะรู้ว่าลูกค้าต้องการอะไร ทำอย่างไรให้ลูกค้าเกิดความพึงพอใจสูงสุด ซึ่งจะส่งผลต่อยอดขาย
4. การบริการหลังการขาย ซึ่ง Logistic จะต้องมีส่วนเข้าไปช่วยมากๆ เนื่องจาก Logistic ถือว่าเป็นงานบริการ ทำอย่างไรให้ลูกค้ามั่นใจ เมื่อใช้สินค้าจากเรา
ซึ่งทั้ง 4 ตัวที่พูดมามันต้องทำให้เพิ่มสูงขึ้น ยอดขายถึงจะสูงขึ้นตาม
ส่วนในส่วนของต้นทุนการขาย เราจะต้องให้มันลดลง โดย Logistic จะเข้าไปช่วยลดต้นทุน ได้ คือ
1. ระดับปริมาณสินค้าคงคลัง (Inventory) ทำให้มันต่ำที่สุด โดยที่ยังสามารถตอบสนองได้ทั้งภายในและภายนอก ภายในก็คือ ตอบสนอง ขบวนการผลิตไม่ทำให้การผลิตหยุดชะงัก และการตอบสนองภายนอกคือลูกค้า ทำอย่างไรว่าเมื่อลูกค้าต้องการแล้วเราสามารถตอบสนองเขาได้ตลอดเวลา
2. ขบวนการการจัดเก็บ จะถือเป็นต้นทุนอย่างหนึ่ง
3. วิธีการขนส่ง จะขนส่งแบบเต็มเที่ยวหรือไม่เต็มเที่ยว
4. ค่าเสื่อมสภาพ (Depreciation) และค่าเช่าสถานที่ที่เราจะใช้เป็นศูนย์กระจายสินค้าก็ถือว่าเป็นต้นทุน
พิจารณาจากฝั่งเงินลงทุน
ส่วนฝั่งของเงินลงทุน จะต้องน้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพื่อทำให้ ROI ดี
ซึ่ง Logistic จะเกี่ยวพันกับเงินลงทุนอยู่ 3 มุมใหญ่ๆ คือ
1. มุมของสินค้าคงคลัง ดูตั้งแต่วัตถุดิบที่เข้ามา
2. มุมของเงินสดและบิลรอเรียกเก็บ
3. มุมของสินทรัพย์ถาวร คลังสินค้า
เราจะมาพิจารณาทีละมุมกันเลย
มุมของสินค้าคงคลัง
เรามามองที่สินค้าคงคลังก่อน ซึ่งสินค้าคงคลังเราจะแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม
1.เก็บไว้เพื่อผลิต พวกผลิตก็เป็นพวก Raw Material หรือสินค้าระหว่างการผลิต เราต้องดูว่าขั้นต่ำสุดของเราอยู่ตรงไหน
ที่ยังสามารถสนองตอบความต้องการของฝ่ายผลิตได้ อย่าให้ของขาดหรือมากเกินไป
2.เก็บไว้เพื่อขาย ในส่วนสินค้าคงคลังเพื่อการจำหน่าย มองได้หลายปัจจัย คือ ตลาดต้องการอะไร จึงต้องเก็บสินค้าที่พร้อมสำหรับตลาด และอีกปัจจัยหนึ่งคือ ต้องมีปริมาณเพียงพอ ไม่ใช่ต่ำเกินไป จนไม่สามารถสนองตอบความต้องการของลูกค้าได้ ถ็ถือเป็นการเสียโอกาส อีกปัจจัยหนึ่งก็คือ เรื่องสถานที่จัดเก็บ เก็บอย่างไร เราจะได้ไม่ต้องย้ายหลายรอบ และสินค้าคงคลังก็พร้อมจำหน่าย อยู่ในสภาพที่ดี อีกปัจจัยหนึ่งการคือเรื่อง การหมุนเวียนของสินค้า จะเป็นแบบ FIFO หรือ LIFO แล้วแต่ประเภทสินค้า และที่สำคัญมากสำหรับการบริหารสินค้าคงคลังก็คือ การสั่งซื้อยอดที่ประหยัดที่สุด (Economy Order Quantity : EOQ) เราต้องสามารถคำนวณได้ว่าเราสั่งซื้อตรงนี้ มีต้นทุนการจัดเก็บ (Holding Cost) การสั่งซื้อต่ำสุด เท่าไหร่ อย่างไรและจะเปลี่ยนแปลงไปตลอดเวลา ซึ่งฝ่ายจัดซื้อจะเป็นส่วนสำคัญมากในการหาตัวนี้ ซึ่งจะต้องสอดคล้องกับ Demand Rate ว่าเป็นอย่างไร เราก็ต้องสั่งซื้อให้ได้ตามนั้น
มุมเงินสดและบิลรอเรียกเก็บ
ในส่วนของเงินสด เราจะต้องมีวงจรของกระแสเงินสด (Cash Flow Statement) เราจะต้องหาให้เจอว่า สภาพคล่องเราเป็นอย่างไร เพราะเราสามารถใช้เงินไปในการบริหารงานได้แต่ระยะเวลาช่วงหนึ่งเท่านั้น ถ้าเงินเราไปจมอยู่ที่ลูกค้าที่ยังไม่จ่ายหนี้ หรือสินค้าคงเหลือ ก็อาจจะเป็นปัญหาได้ เพราะฉะนั้นคำว่า Cash Flow Statement กับ Income Statement ต้องแยกกันให้ชัด เพราะ Cash Flow คือ สภาพคล่อง
อีกอันหนึ่งคือระบบเอกสารการวางบิล เพราะเมื่อเราส่งเอกสารที่ไม่สมบูรณ์ไป อาจจะทำให้กลายป็น Overdue ได้ ต้องระบุเอกสารที่เกี่ยวข้องให้ชัดเจนซึ่งฝ่ายขายและการเงินต้องประสานงานกัน
มุมสินทรัพย์ถาวร คลังสินค้า
สินทรัพย์ถาวร ดูง่ายๆ เลยว่าเราจะซื้อหรือจะ outsource ถ้าเราลงทุนมาก investment cost ของเราก็เยอะ แต่ถ้าหากเราไปใช้คลังสินค้าภายนอกมันก็จะทำให้ ROI เราดีขึ้น ซึ่งจะต้องดูที่นโยบาย
เพราะฉะนั้น จึงสรุปได้ว่า กำไรที่สูงขึ้น แล้ว ROI จะสูงขึ้นตามถ้าเงินลงทุนเราต่ำ ซึ่งเงินลงทุนเราจะดูสามตัวหลัก คือ สินค้าคงคลัง เงินสด สินทรัพย์ถาวร
เนื้อหาที่เกี่ยวเนื่อง :
Logistic Cost
Bullwhip Effect in Supply Chain
LEAN กับการบริหารจัดการห่วงโซ่อุปทาน (LEAN for Supply Chain Management)
แล้วในการทำ Logistic จะทำอย่างไร ให้ผลตอบแทนจากการลงทุนดีขึ้น ซึ่งเราจะแยกพิจารณออกตาม ส่วนประกอบของ ROI จากที่กล่าวไว้ในข้างต้น คือ
พิจารณาจากฝั่งกำไร
เมื่อเราจะพิจารณากำไร จะชัดเจนมากว่ามาจากการขายลบด้วยต้นทุน เพราะฉะนั้น โจทย์ของเราในส่วนนี้ คือ ทำอย่างไรให้ยอดขายเพิ่มและต้นทุนการขายลดต่ำลง นิ่คือโจทย์ที่ Logistic จะไปช่วย แล้วตัวยอดขายจะทำอย่างไรให้เพิ่มขึ้นละ
เราจะใช้ Logistic เข้าไปช่วยยอดขายได้โดย 4 ส่วน คือ
1. On time in full ตรงเวลาและเต็มจำนวน คือ ทำอย่างไรที่เราจะส่งสินค้าได้ on time และส่งของส่งครบตามจำนวนที่ลูกค้าสั่ง
2. ระดับการบริการ (Service Level) คือ เราต้องเพิ่มระดับการบริการอยู่ตลอดเวลาให้ลูกค้ากลับมาใช้เรา และเราสามารถที่จะเพิ่มระดับการบริการเพื่อที่จะทำให้ราคาขายของเรานั้นสูงขึ้นได้ ด้วยระดับการบริการ ไม่ได้ไปเน้นที่การลดต้นทุนอย่างเดียว
3. การสร้างความสัมพันธ์ของลูกค้า (CRM) ทำอย่างไรถึงจะรู้ว่าลูกค้าต้องการอะไร ทำอย่างไรให้ลูกค้าเกิดความพึงพอใจสูงสุด ซึ่งจะส่งผลต่อยอดขาย
4. การบริการหลังการขาย ซึ่ง Logistic จะต้องมีส่วนเข้าไปช่วยมากๆ เนื่องจาก Logistic ถือว่าเป็นงานบริการ ทำอย่างไรให้ลูกค้ามั่นใจ เมื่อใช้สินค้าจากเรา
ซึ่งทั้ง 4 ตัวที่พูดมามันต้องทำให้เพิ่มสูงขึ้น ยอดขายถึงจะสูงขึ้นตาม
ส่วนในส่วนของต้นทุนการขาย เราจะต้องให้มันลดลง โดย Logistic จะเข้าไปช่วยลดต้นทุน ได้ คือ
1. ระดับปริมาณสินค้าคงคลัง (Inventory) ทำให้มันต่ำที่สุด โดยที่ยังสามารถตอบสนองได้ทั้งภายในและภายนอก ภายในก็คือ ตอบสนอง ขบวนการผลิตไม่ทำให้การผลิตหยุดชะงัก และการตอบสนองภายนอกคือลูกค้า ทำอย่างไรว่าเมื่อลูกค้าต้องการแล้วเราสามารถตอบสนองเขาได้ตลอดเวลา
2. ขบวนการการจัดเก็บ จะถือเป็นต้นทุนอย่างหนึ่ง
3. วิธีการขนส่ง จะขนส่งแบบเต็มเที่ยวหรือไม่เต็มเที่ยว
4. ค่าเสื่อมสภาพ (Depreciation) และค่าเช่าสถานที่ที่เราจะใช้เป็นศูนย์กระจายสินค้าก็ถือว่าเป็นต้นทุน
พิจารณาจากฝั่งเงินลงทุน
ส่วนฝั่งของเงินลงทุน จะต้องน้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพื่อทำให้ ROI ดี
ซึ่ง Logistic จะเกี่ยวพันกับเงินลงทุนอยู่ 3 มุมใหญ่ๆ คือ
1. มุมของสินค้าคงคลัง ดูตั้งแต่วัตถุดิบที่เข้ามา
2. มุมของเงินสดและบิลรอเรียกเก็บ
3. มุมของสินทรัพย์ถาวร คลังสินค้า
เราจะมาพิจารณาทีละมุมกันเลย
มุมของสินค้าคงคลัง
เรามามองที่สินค้าคงคลังก่อน ซึ่งสินค้าคงคลังเราจะแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม
1.เก็บไว้เพื่อผลิต พวกผลิตก็เป็นพวก Raw Material หรือสินค้าระหว่างการผลิต เราต้องดูว่าขั้นต่ำสุดของเราอยู่ตรงไหน
ที่ยังสามารถสนองตอบความต้องการของฝ่ายผลิตได้ อย่าให้ของขาดหรือมากเกินไป
2.เก็บไว้เพื่อขาย ในส่วนสินค้าคงคลังเพื่อการจำหน่าย มองได้หลายปัจจัย คือ ตลาดต้องการอะไร จึงต้องเก็บสินค้าที่พร้อมสำหรับตลาด และอีกปัจจัยหนึ่งคือ ต้องมีปริมาณเพียงพอ ไม่ใช่ต่ำเกินไป จนไม่สามารถสนองตอบความต้องการของลูกค้าได้ ถ็ถือเป็นการเสียโอกาส อีกปัจจัยหนึ่งก็คือ เรื่องสถานที่จัดเก็บ เก็บอย่างไร เราจะได้ไม่ต้องย้ายหลายรอบ และสินค้าคงคลังก็พร้อมจำหน่าย อยู่ในสภาพที่ดี อีกปัจจัยหนึ่งการคือเรื่อง การหมุนเวียนของสินค้า จะเป็นแบบ FIFO หรือ LIFO แล้วแต่ประเภทสินค้า และที่สำคัญมากสำหรับการบริหารสินค้าคงคลังก็คือ การสั่งซื้อยอดที่ประหยัดที่สุด (Economy Order Quantity : EOQ) เราต้องสามารถคำนวณได้ว่าเราสั่งซื้อตรงนี้ มีต้นทุนการจัดเก็บ (Holding Cost) การสั่งซื้อต่ำสุด เท่าไหร่ อย่างไรและจะเปลี่ยนแปลงไปตลอดเวลา ซึ่งฝ่ายจัดซื้อจะเป็นส่วนสำคัญมากในการหาตัวนี้ ซึ่งจะต้องสอดคล้องกับ Demand Rate ว่าเป็นอย่างไร เราก็ต้องสั่งซื้อให้ได้ตามนั้น
มุมเงินสดและบิลรอเรียกเก็บ
ในส่วนของเงินสด เราจะต้องมีวงจรของกระแสเงินสด (Cash Flow Statement) เราจะต้องหาให้เจอว่า สภาพคล่องเราเป็นอย่างไร เพราะเราสามารถใช้เงินไปในการบริหารงานได้แต่ระยะเวลาช่วงหนึ่งเท่านั้น ถ้าเงินเราไปจมอยู่ที่ลูกค้าที่ยังไม่จ่ายหนี้ หรือสินค้าคงเหลือ ก็อาจจะเป็นปัญหาได้ เพราะฉะนั้นคำว่า Cash Flow Statement กับ Income Statement ต้องแยกกันให้ชัด เพราะ Cash Flow คือ สภาพคล่อง
อีกอันหนึ่งคือระบบเอกสารการวางบิล เพราะเมื่อเราส่งเอกสารที่ไม่สมบูรณ์ไป อาจจะทำให้กลายป็น Overdue ได้ ต้องระบุเอกสารที่เกี่ยวข้องให้ชัดเจนซึ่งฝ่ายขายและการเงินต้องประสานงานกัน
มุมสินทรัพย์ถาวร คลังสินค้า
สินทรัพย์ถาวร ดูง่ายๆ เลยว่าเราจะซื้อหรือจะ outsource ถ้าเราลงทุนมาก investment cost ของเราก็เยอะ แต่ถ้าหากเราไปใช้คลังสินค้าภายนอกมันก็จะทำให้ ROI เราดีขึ้น ซึ่งจะต้องดูที่นโยบาย
เพราะฉะนั้น จึงสรุปได้ว่า กำไรที่สูงขึ้น แล้ว ROI จะสูงขึ้นตามถ้าเงินลงทุนเราต่ำ ซึ่งเงินลงทุนเราจะดูสามตัวหลัก คือ สินค้าคงคลัง เงินสด สินทรัพย์ถาวร
เนื้อหาที่เกี่ยวเนื่อง :
Logistic Cost
Bullwhip Effect in Supply Chain
LEAN กับการบริหารจัดการห่วงโซ่อุปทาน (LEAN for Supply Chain Management)
Comments
Post a Comment